Bitcoin Cash คืออะไร
Bitcoin Cash (BCH) เป็นสกุลเงินดิจิตอลที่มีที่มาจาก Bitcoin ผ่านกระบวนการ “Fork” หรือการแยกตัวเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องของขนาดบล็อกซึ่งจำกัดที่ 1 MB ของ Bitcoin โดยการขยายขนาดบล็อกไปที่ 8 MB เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลธุรกรรมและแก้ปัญหาการล่าช้าในการยืนยันธุรกรรมของ Bitcoin เดิม.
- เหตุเกิด: ระหว่างปี ค.ศ. 2016–2017 ราคาของ Bitcoin สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เครือข่าย Bitcoin ยังมีปัญหาเรื่องความเร็วในการประมวลผลธุรกรรม ทำให้นักพัฒนาและนักขุดบางส่วนเห็นว่า Bitcoin ควรถูกปรับปรุงเพื่อให้สามารถใช้สำหรับการชำระเงินได้รวดเร็วขึ้น
- การ Fork: ในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 2017, ฟอร์กของ Bitcoin ถูกสร้างขึ้นเป็น Bitcoin Cash โดยเอาการปรับปรุงที่เรียกว่า Segwit ออก และเพิ่มขนาดบล็อกจาก 1 MB เป็น 8 MB.
- การแยกต่อเนื่อง: ในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018, Bitcoin Cash ได้มีการแยกตัวอีกครั้งเป็น Bitcoin Cash ABC และ Bitcoin Cash SV (Satoshi Vision) แต่สกุลเงินที่รับรู้ในปัจจุบันคือ Bitcoin Cash ABC.
การทำงานของ Bitcoin Cash:
-
- สามารถประมวลผลธุรกรรมได้มากกว่า Bitcoin เดิม เนื่องจากการเพิ่มขนาดบล็อก ซึ่งทำให้ Bitcoin Cash สามารถจัดการธุรกรรมได้ถึง 25,000 ต่อ block ในขณะที่ Bitcoin เดิมสามารถจัดการได้เพียง 1,000 ถึง 1,500 ต่อ block.
- การปรับความยากในการขุด (EDA) ปรับทุก 2 สัปดาห์ หรือทุก 2016 block.
ความแตกต่างระหว่าง Bitcoin และ Bitcoin Cash:
-
- Bitcoin Cash มีขนาดบล็อกมากกว่า โดยเพิ่มจาก 1 MB ของ Bitcoin เป็น 8 MB และสามารถขยายได้ถึง 32 MB.
- จำนวนธุรกรรมที่ Bitcoin Cash สามารถจัดการได้มากกว่า Bitcoin เดิม.
- ทั้ง Bitcoin และ Bitcoin Cash มีอุปทานสูงสุดที่ 21,000,000 หน่วย.
จากประวัติและความเป็นมาของ Bitcoin Cash นั้น สามารถสรุปได้ว่า BCH ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่มาเพิ่มขึ้นในการใช้ Bitcoin เป็นสกุลเงินสำหรับการชำระเงิน และประมวลผลธุรกรรมได้รวดเร็วขึ้น.
คุณสมบัติและข้อมูลสำคัญ
Bitcoin Cash (BCH) เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่เกิดจากกลุ่มนักพัฒนาและนักขุดบิทคอยน์ที่กังวลถึงข้อจำกัดด้านความเร็วและการใช้งานของ Bitcoin. BCH เกิดขึ้นจากการ Fork หรือแยกตัวออกมาจาก Bitcoin ในเดือนสิงหาคม ปี 2017 เนื่องจากการตรวจสอบธุรกรรมบน Blockchain ของ Bitcoin มีขีดจำกัดเพียง 1 MB ทำให้ผู้ใช้งานต้องรอนาน 3-4 วัน ในการตรวจสอบการโอนเหรียญ Bitcoin.
ปัญหาและวิธีการแก้ไขของ Bitcoin
ความขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อมีการเสนอวิธีแก้ไข 2 วิธี คือ Bitcoin Unlimited และ Segregated Witness (SegWit).
-
- วิธี Bitcoin Unlimited: กลุ่มนี้เสนอให้ยกเลิกการจำกัดขนาดบล็อก และเครือข่ายนี้มีความเสี่ยงต่อการเป็นของบริษัทขุดรายใหญ่
- วิธี SegWit: บางข้อมูลสามารถเก็บไว้นอก Blockchain และไม่ต้องถูกเก็บไว้ในบล็อก.
ด้วยแนวคิดดังกล่าว Bitcoin Cash จึงเพิ่มขนาดบล็อกเป็น 8 MB และเก็บข้อมูลบางส่วนไว้นอก Blockchain เพื่อเร็วขึ้นและมีต้นทุนที่ต่ำกว่า Bitcoin.
แยกตัวออกเป็น Bitcoin Cash ABC และ Bitcoin Cash Node
นอกจากนี้ BCH ยังแยกตัวออกเป็น Bitcoin Cash ABC ที่สนับสนุน Coinbase Rule และ Bitcoin Cash Node ที่ไม่สนับสนุน Coinbase Rule.
คุณสมบัติและผลิตภัณฑ์ของ BCH
-
- BCH ใช้ระบบ Delta Blocks และ Weak Proof-of-Work (POW) ที่เร็วขึ้น
- ภาษาที่ใช้ใน Smart Contract ของ BCH คือ Cashscript
- ระยะเวลาในการสร้างบล็อกใหม่เป็น 10 นาที
- BCH มีเหตุการณ์ Halving ทำให้ผลตอบแทนลดลงจาก 12.5 BCH เป็น 6.25 BCH ต่อบล็อก.
คำวิจารณ์
การ Hard fork ในโลกของสกุลเงินดิจิตอลมักถูกมองว่าเป็นเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนและเป็นที่สนใจของผู้เกี่ยวข้องหลายประเภท:
- ความเปลี่ยนแปลงกับบล็อกเชน: Hard fork ถือว่าขัดขวางหลักการพื้นฐานของบล็อกเชนคือ “immutability” หรือความไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้หลายคนเรียกร้องว่าการนำเสนอ Hard fork ขัดกับวิสัยทัศน์เดิมของเทคโนโลยีนี้
- ความฟุ่มเฟือยของกฎหมาย: Hard fork ยังเป็นปัญหาในเรื่องของ “รหัสคือกฎหมาย” (code is law) เนื่องจากมันสามารถเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่กำหนดไว้ในรหัสได้.
- ปัญหาสำหรับนักขุด: Hard fork สามารถส่งผลต่อการขุดบล็อกเชน โดยทำให้บล็อกขนาดใหญ่และต้องการพลังงานประมวลผลมากขึ้น ซึ่งนักขุดขนาดเล็กอาจจะไม่สามารถรับมือได้ ทำให้อำนาจในการขุดเกิดการเบียดบังโดยองค์กรขนาดใหญ่.
- ความไม่แน่นอนทางการเงิน: ในการ Hard fork ที่เกิดขึ้น เช่น การแยก Bitcoin ไปสู่ Bitcoin Cash ผู้ถือเหรียญเดิมจะได้รับเหรียญใหม่ในปริมาณเท่าเดิม แต่การแยกปันนี้ยังสร้างความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ระยะยาวของสกุลเงินและอาจถูกมองว่าเป็นแผนการทำเงินเท่านั้น.
- ปัญหาการใช้จ่ายซ้ำซ้อน: Hard fork อาจทำให้เกิดปัญหาการใช้จ่ายซ้ำซ้อน เนื่องจากวอลเล็ทเดียวกันสามารถถูกใช้งานในการทำธุรกรรมในทั้งสองเครือข่ายที่เกิดจากการแยกปัน.
ในท้ายที่สุด Hard fork แต่ละครั้งจะนำเสนอทั้งความเสี่ยงและโอกาส แต่สิ่งสำคัญคือความเข้าใจและการตัดสินใจของผู้เกี่ยวข้องในระบบ.
ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับ Bitcoin Cash (BCH):
- ความผันผวนของอุปสงค์: ความต้องการหรือความสนใจใน Bitcoin Cash สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ซึ่งส่งผลต่อราคาและความเสถียรของเหรียญ.
- การปรากฏของเทคโนโลยีใหม่: มีเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาในระบบ Proof-of-Work (PoW) ด้วยวิธีการตรวจสอบแบบ Proof-of-Stake (PoS) หรือ Proof of Authority ซึ่งสามารถทำให้ธุรกรรมรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น.
- ความล่าช้าและความเสี่ยงในการถูกโจมตี: การ Fork จาก Bitcoin สร้างความขัดแย้งในกลุ่มนักขุดและทำให้ Bitcoin Cash มีความเสี่ยงในการถูกโจมตีด้วยการรุกราน 51% ของระบบ.
- ความมั่นใจของนักลงทุน: นักลงทุนหลายๆ คนเชื่อว่า Bitcoin Cash ไม่ใช่สินทรัพย์ระยะยาวเมื่อเทียบกับ Bitcoin ทำให้การลงทุนใน Bitcoin Cash มีความเสี่ยงมากขึ้น.
เหตุการณ์ที่น่าสนใจ Bitcoin Cash (BCH):
-
- PayPal รองรับ Cryptocurrency: ในวันที่ 8 มิ.ย. 2565, PayPal ประกาศรับชำระเงินด้วย Bitcoin, Ethereum, Bitcoin Cash และ Litecoin โดยไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม และกำลังมองการใช้ Blockchain ในแพลตฟอร์มของตน.
- การลดลงของ Hash Rate หลังการ Halving: Hash Rate ของ Bitcoin Cash ลดลงอย่างรุนแรงหลังจากการ Halving ทำให้เกิดความเสี่ยงในการถูกโจมตีด้วยการรุกราน 51% ของระบบ.
ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง:
-
- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ: bitcoincash.org
- White Paper: bitcoincash.org/bitcoin.pdf