Blockchain คืออะไร สำคัญอย่างไร มีอะไรบ้าง มีประโยชน์อย่างไร กี่ประเภท ตัวอย่าง blockchain ในไทย

Blockchain คืออะไร สำคัญอย่างไร มีอะไรบ้าง มีประโยชน์อย่างไร

Blockchain คืออะไร

บล็อกเชน (Blockchain) คือเทคโนโลยีการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ หรือที่เรียกว่า Distributed Ledger Technology (DLT) ซึ่งเป็นรูปแบบการบันทึกข้อมูลที่ใช้หลักการ Cryptography ร่วมกับกลไก Consensus โดยข้อมูลที่ถูกบันทึกในระบบ Blockchain นั้นจะสามารถทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ยาก และ ช่วยเพิ่มความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยบล็อกเชนยังมีการนำไปใช้ในหลายองค์กรและธุรกิจในประเทศไทยเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและปลอดภัยในการทำธุรกรรมและการจัดเก็บข้อมูล

Blockchain คืออะไร สำคัญอย่างไร มีอะไรบ้าง มีประโยชน์อย่างไร
Blockchain คืออะไร สำคัญอย่างไร มีอะไรบ้าง มีประโยชน์อย่างไร

เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นกลไกฐานข้อมูลขั้นสูงที่เปิดรับการแบ่งปันข้อมูลที่โปร่งใสภายในเครือข่ายธุรกิจ โดยฐานข้อมูลบล็อกเชนจัดเก็บข้อมูลในบล็อกที่เชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่ ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวจะมีความสอดคล้องกันตามลำดับเวลาเนื่องจากคุณไม่สามารถลบหรือแก้ไขลูกโซ่ได้หากไม่ได้รับฉันทามติจากเครือข่าย ด้วยเหตุนี้ คุณจึงสามารถใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อสร้างบัญชีแยกประเภทที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้และไม่เปลี่ยนรูปเพื่อติดตามคำสั่งซื้อ การชำระเงิน บัญชี และธุรกรรมอื่นๆ ระบบดังกล่าวมีกลไกภายในที่ป้องกันการเพิ่มธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตและสร้างมุมมองของธุรกรรมร่วมเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ

Blockchain สำคัญอย่างไร

Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญเนื่องจากสร้างโอกาสใหม่ในการบันทึกและจัดเก็บข้อมูลแบบปลอดภัยและโปร่งใส โดยเฉพาะในเขตการเงินและการทำธุรกรรมออนไลน์ นี่คือบางเหตุผลที่ Blockchain สำคัญ ดังนี้

ความปลอดภัย

ความปลอดภัยใน Blockchain เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีนี้น่าสนใจและมีความคุ้มค่า เราจะอธิบายความปลอดภัยใน Blockchain อย่างละเอียดดังนี้:

ความปลอดภัย Blockchain
ความปลอดภัย Blockchain
    1. การใช้ Cryptography: Blockchain ใช้เทคนิค Cryptography เพื่อรักษาความลับและความปลอดภัยของข้อมูล ข้อมูลทั้งหมดบน Blockchain ถูกเข้ารหัสให้อยู่ในรูปแบบที่ไม่สามารถอ่านได้โดยง่าย และมีคีย์เป็นรหัสที่ใช้ในการถอดรหัส เพียงผู้ที่มีคีย์เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้.
    2. ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลได้: ข้อมูลที่บันทึกในบล็อก Blockchain ไม่สามารถแก้ไขหรือลบได้โดยง่าย เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงข้อมูล, จะต้องมีการยืนยันจากส่วนที่เหลือในระบบ นั่นหมายความว่าการแก้ไขข้อมูลนั้นจะต้องผ่านกระบวนการอนุมัติจากผู้ใช้อื่นๆ ในเครือข่าย ซึ่งทำให้ยากต่อการโกงข้อมูล.
    3. Consensus Mechanism : บล็อก Blockchain ได้รับการเชื่อมโยงกันในลำดับที่กำหนดและมีกลไก Consensus ที่ใช้ในการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกบันทึก หลายๆ ระบบ Blockchain มีกลไกต่างๆ เช่น Proof of Work (PoW) หรือ Proof of Stake (PoS) ซึ่งต้องการการชำระค่าใช้จ่ายหรือการยืนยันที่เข้มงวดจากผู้ใช้เพื่อเพิ่มความถูกต้องของข้อมูล.
    4. การแยกคีย์ส่วนตัว: Blockchain มีระบบควบคุมและสิทธิ์การเข้าถึงที่เข้มงวด ในบล็อกเชนส่วนมากนั้น ผู้ใช้ต้องมีคีย์ส่วนตัวเพื่อเข้าถึงข้อมูลของพวกเขา การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงนี้ช่วยป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต.
    5. การตรวจสอบแบบ Real-time : บล็อก Blockchain มีการตรวจสอบแบบ Real-time ที่ถูกนำมาใช้ในหลายรายการธุรกรรม ซึ่งหมายความว่าทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงในข้อมูลของบล็อก มันจะถูกอัปเดตในบัญชีแยกประเภทของผู้เข้าร่วมทุกคนแบบเรียลไทม์ ความเสียหายในข้อมูลที่ถูกบุกรุกในอดีตจะทำให้บัญชีแยกประเภททั้งหมดเสียหาย.
    6. การยกเลิกการทำธุรกรรม : บล็อก Blockchain ไม่อนุญาตให้ยกเลิกการทำธุรกรรมได้โดยง่าย การยกเลิกควรจะเกิดขึ้นโดยเหตุสำคัญเท่านั้น และจะต้องผ่านกระบวนการยืนยันจากเครือข่าย นี่มีความสำคัญในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดหรือการโกง.

ความโปร่งใส

ความโปร่งใสใน Blockchain ทำให้การทำธุรกรรมและการบันทึกข้อมูลเป็นเรื่องที่มีความเชื่อถือและการตรวจสอบได้อย่างโปร่งใสและน่าเชื่อถือในสาขาต่างๆ ของธุรกิจและสังคมในทุกส่วนของโลก

    1. การเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ: ข้อมูลบน Blockchain เปิดให้สาธารณะเข้าถึงและตรวจสอบได้ ทุกคนสามารถดูข้อมูลธุรกรรมและบันทึกบน Blockchain ได้อย่างอิสระ ไม่มีความลับหรือข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่ในระบบ นี่เป็นสิ่งที่สร้างความโปร่งใสในกระบวนการทำธุรกรรม.
    2. การตรวจสอบข้อมูล: ข้อมูลบน Blockchain ถูกบันทึกแบบต่อเนื่องในบล็อกที่เชื่อมโยงกัน การตรวจสอบข้อมูลหรือการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นในอดีตสามารถทำได้ง่าย ทำให้ประกาศการทำธุรกรรมหรือการเพิกถอนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเป็นเรื่องยาก.
    3. ความเชื่อถือและการโอนสิทธิ์: ความโปร่งใสในการทำธุรกรรมบน Blockchain ทำให้ผู้เกี่ยวข้องมีความเชื่อถือในกระบวนการทำธุรกรรม ยกตัวอย่างเช่นในกรณีการซื้อขายทรัพย์สิน ผู้ขายและผู้ซื้อสามารถตรวจสอบการโอนสิทธิ์และความถูกต้องของการชำระเงินได้อย่างโปร่งใส.
    4. ป้องกันการปลอมแปลง: บล็อกเชนใช้การเข้ารหัสและกระบวนการยืนยันเพื่อป้องกันการปลอมแปลงข้อมูล ข้อมูลที่บันทึกในบล็อกไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ในระบบ ซึ่งช่วยป้องกันการปลอมแปลงข้อมูลที่มีความเชื่อถือ.
    5. การทำธุรกรรมโดยไม่มีบุคคลกลาง: Blockchain อนุญาตให้การทำธุรกรรมเกิดขึ้นระหว่างผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านบุคคลกลาง ทำให้ประเด็นความเชื่อถือในการทำธุรกรรมและความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญ.

ลดค่าใช้จ่าย

การลดค่าใช้จ่ายใน Blockchain ไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม แต่ยังเกี่ยวข้องกับความประหยัดเวลา ความเสี่ยงทางธุรกิจ และความโปร่งใสในกระบวนการทำธุรกรรมและการจัดการข้อมูลในหลายๆ ด้านของธุรกิจและสังคม การลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain มีอยู่ในหลายด้านและรูปแบบต่างๆ ดังนี้

การลดค่าใช้จ่ายใน Blockchain
การลดค่าใช้จ่ายใน Blockchain
    1. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม: ในระบบทางการเงินแบบ传统 การโอนเงินและการทำธุรกรรมอื่นๆ ต้องมีการคิดค่าธรรมเนียมในการใช้บริการของธนาคารหรือบริษัทบริการการเงินระหว่างประเทศ การใช้ Blockchain สามารถลดค่าใช้จ่ายนี้ลง เนื่องจากไม่ต้องผ่านกลาง และค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมมีขนาดเล็ก.
    2. ลดค่าใช้จ่ายในธุรกิจ: สำหรับธุรกิจที่มีการใช้ Blockchain เข้ามาในกระบวนการ มีโอกาสลดค่าใช้จ่ายในด้านการจัดการและตรวจสอบข้อมูล การสั่งซื้อและการเงินที่สามารถทำได้โดยอัตโนมัติและประหยัดเวลา.
    3. ความโปร่งใสในค่าใช้จ่าย: Blockchain ทำให้ค่าใช้จ่ายและการบันทึกธุรกรรมเป็นเรื่องโปร่งใส ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบค่าใช้จ่ายและการทำธุรกรรมได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องพึ่งพาบริษัทกลาง.
    4. การลดความเสี่ยงในธุรกิจ: การใช้ Blockchain สามารถลดความเสี่ยงในธุรกิจ เช่น ความเสี่ยงในการโกงการทำธุรกรรม การปลอมแปลงข้อมูล หรือการโจมตีความปลอดภัย เนื่องจากข้อมูลบน Blockchain มีความปลอดภัยและไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย.
    5. การทำธุรกรรมกับประเทศต่างๆ: ในธุรกิจที่มีการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ การใช้ Blockchain สามารถลดความซับซ้อนในการทำธุรกรรมและค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและประหยัด.
    6. การจัดการคำสั่งซื้อและการควบคุมคลังสินค้า: ในธุรกิจที่เกี่ยวกับการจัดการคำสั่งซื้อและคลังสินค้า การใช้ Blockchain ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการติดตามคำสั่งซื้อและสินค้า โดยทำให้เกิดความควบคุมและโปร่งใสในกระบวนการนี้.

การส่งเงินและการทำธุรกรรม

การส่งเงินและการทำธุรกรรมผ่าน Blockchain มีความสะดวกและความปลอดภัย เป็นที่นิยมในการทำธุรกรรมออนไลน์และการเงินดิจิทัล เนื่องจากมันลดความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมและเพิ่มความรวดเร็วในการทำธุรกรรมต่างๆการส่งเงินและการทำธุรกรรมด้วย Blockchain เป็นหนึ่งในการใช้งานสำคัญของเทคโนโลยีนี้ นี่คือการอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับนี้

    1. การส่งเงินและการโอนเงิน:
      • การส่งเงินผ่าน Blockchain ทำให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องผ่านธนาคารหรือบริษัทบริการการโอนเงินต่างๆ ที่มักมีค่าธรรมเนียมและขั้นตอนที่ซับซ้อน การทำธุรกรรมนี้สามารถทำได้ในเวลาเร็วและโดยไม่มีค่าใช้จ่ายสูง.
    2. การชำระเงินและการซื้อสินค้า:
      • Blockchain ใช้ในการชำระเงินและการทำธุรกรรมซื้อขายออนไลน์ ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถชำระเงินโดยตรงและปลอดภัย ไม่ต้องใช้บัตรเครดิตหรือบริการชำระเงินระหว่างประเทศที่มีค่าใช้จ่ายสูง.
    3. การทำธุรกรรมทางการเงิน:
      • Blockchain ใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น การกู้ยืมเงิน การลงทุน และการจัดการทางการเงิน ทำให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วและที่มีความเชื่อถือ และลดความต้องการใช้บริการของบุคคลกลาง.
    4. การตรวจสอบสิทธิ์และการโอนทรัพย์สิน:
      • Blockchain ใช้ในการตรวจสอบสิทธิ์และการโอนทรัพย์สิน เช่น การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ หุ้น หรือสินทรัพย์ดิจิทัล การทำธุรกรรมดังกล่าวสามารถทำได้อย่างเร็วและที่มีความปลอดภัย.
    5. การจัดทำสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts):
      • Blockchain สนับสนุนการจัดทำสัญญาอัจฉริยะที่เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ สัญญาเหล่านี้ทำให้เกิดการทำธุรกรรมอัตโนมัติเมื่อเงื่อนไขถูกปฏิบัติ เช่น การชำระค่าเช่าห้องพักอัตโนมัติเมื่อครบกำหนด.

Blockchain มีอะไรบ้าง

Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่มีองค์ประกอบหลายอย่างที่รวมกันเพื่อสร้างระบบการจัดเก็บข้อมูลและการทำธุรกรรมที่ปลอดภัยและโปร่งใสเทคโนโลยีบล็อกเชนมีองค์ประกอบหลักต่อไปนี้

Blockchain มีอะไรบ้าง
Blockchain มีอะไรบ้าง
  1. Distributed Ledger เทคโนโลยีบล็อกเชนใช้ระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ซึ่งหมายความว่าข้อมูลถูกเก็บรวบรวมในรูปแบบของบล็อกและกระจายอย่างแน่นอนในเครือข่าย ทุกคนในเครือข่ายจะมีสำเนาข้อมูลแบบเดียวกัน นี่เป็นหลักการพื้นฐานที่ทำให้ Blockchain สามารถสร้างความน่าเชื่อถือในข้อมูล.
  2. Smart Contracts สัญญาอัจฉริยะคือโค้ดคอมพิวเตอร์ที่ถูกโปรแกรมให้ทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้ถูกปฏิบัติงาน สัญญาอัจฉริยะนี้ถูกบันทึกบน Blockchain และทำให้มีการทำธุรกรรมอัตโนมัติโดยไม่ต้องผ่านบุคคลกลาง เช่น สัญญาอัจฉริยะสามารถใช้ในการประมวลผลการชำระเงินหลังจากการส่งสินค้าและการตรวจสอบการส่งมอบสินค้า.
  3. Public Key Cryptography Blockchain ใช้การเข้ารหัสคีย์สาธารณะเพื่อระบุและตรวจสอบสมาชิกในเครือข่าย ผู้ใช้ในเครือข่ายมีคีย์สาธารณะและคีย์ส่วนตัว คีย์สาธารณะใช้ในการระบุตนเองและส่งข้อมูล ในขณะที่คีย์ส่วนตัวเป็นความลับและใช้ในการเซ็นต์และยืนยันการทำธุรกรรม.
  4. Consensus Mechanism Blockchain ใช้กระบวนการการตรวจสอบที่เรียกว่า Consensus Mechanism เพื่อตัดสินใจเรื่องของข้อมูลที่ถูกบันทึกใน Blockchain ตัวอย่าง Consensus Mechanism ได้แก่ Proof of Work (PoW) และ Proof of Stake (PoS).
  5. Network Blockchain ทำงานในรูปแบบของเครือข่ายที่คุณสามารถเข้าร่วมหรือเชื่อมต่อได้ มีบล็อกเชนสาธารณะ (Public Blockchain) ที่สามารถเข้าร่วมได้โดยไม่จำกัด และบล็อกเชนเอนเตอร์ไพร์ส (Private Blockchain) ที่มีควบคุมและสิทธิ์การเข้าถึง และบล็อกเชนอนุญาต (Permissioned Blockchain) ที่มีการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงเครือข่าย.

Blockchain มีประโยชน์อย่างไร

Blockchain มีประโยชน์มากมายในหลายด้านของธุรกิจและสังคม นี่คือบางประโยชน์ที่สำคัญของเทคโนโลยี Blockchain:

  1. ความมั่นคงและความน่าเชื่อถือ: Blockchain ช่วยเพิ่มความมั่นคงและความน่าเชื่อถือในข้อมูล ข้อมูลบน Blockchain ไม่สามารถแก้ไขหรือลบได้โดยง่าย นี่หมายความว่าเมื่อข้อมูลถูกบันทึกลงใน Blockchain คุณสามารถมั่นใจได้ว่ามันไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงหรือปลอมแปลง.
  2. สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts): สัญญาอัจฉริยะช่วยให้การทำธุรกรรมเป็นเรื่องอัตโนมัติ และประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย สัญญาอัจฉริยะสามารถนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การชำระเงินอัตโนมัติเมื่อของถึงมือหรือการทำสัญญาธุรกิจโดยอัตโนมัติเมื่อเงื่อนไขถูกสร้างขึ้น.
  3. การทำธุรกรรมแบบไม่ต้องผ่านบุคคลกลาง: Blockchain ช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการทำธุรกรรม ธุรกรรมสามารถทำได้โดยตรงระหว่างสองฝ่ายโดยไม่ต้องผ่านบริษัทหรือองค์กรกลาง นี่ทำให้ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความรวดเร็ว.
  4. การเติบโตของสกุลเงินดิจิทัล: Blockchain เป็นพื้นฐานของสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin, Ethereum, และอื่นๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือการเงินและลงทุนที่ท้าทายแบบใหม่.
  5. ความปลอดภัย: การใช้การเข้ารหัสและระบบการตรวจสอบแบบแบ่งปันข้อมูลทำให้ Blockchain มีความปลอดภัยมาก ข้อมูลบน Blockchain ไม่ง่ายต่อการโจมตี.

Blockchain มีกี่ประเภท

Blockchain มีหลายประเภทตามลักษณะและการใช้งานที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ประเภทหลักๆ ของ Blockchain ประกอบด้วย:

Blockchain มีกี่ประเภท
Blockchain มีกี่ประเภท
  1. Public Blockchain) เป็นBlockchain สาธารณะเปิดให้ทุกคนเข้าร่วมและมีสิทธิ์การเข้าถึงแบบสาธารณะ ตัวอย่างสุดประจำคือ Bitcoin และ Ethereum ใน Blockchain สาธารณะนี้ ข้อมูลและการทำธุรกรรมสามารถเห็นได้โดยทั่วไปและใครๆ สามารถเป็นผู้ก่อตั้งบัญชีแยกประเภทในเครือข่าย.
  2. Private Blockchain Blockchain เอนเตอร์ไพร์สเป็นการสร้างเครือข่าย Blockchain ที่มีควบคุมและการรักษาความปลอดภัยสูง ซึ่งบริษัทหรือองค์กรควบคุมการเข้าถึงและการใช้งานในเครือข่าย มักถูกใช้ในอุตสาหกรรมและธุรกิจที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและการควบคุม.
  3. Permissioned Blockchain Blockchain อนุญาตคือการผสานระหว่าง Blockchain สาธารณะและ Blockchain เอนเตอร์ไพร์ส ในระบบนี้ มีความยืดหยุ่นในการควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง แต่ไม่ต้องการสิทธิ์การเข้าถึงแบบสมบูรณ์ องค์กรหรือกลุ่มที่กำหนดระเบียบและการจัดการเครือข่ายสามารถมีบทบาทในการตรวจสอบและการอนุมัติธุรกรรม.
  4. Consortium Blockchain: Consortium Blockchain คือ Blockchain ที่ถูกกำหนดขึ้นโดยกลุ่มองค์กรหรือบริษัทหลายแห่งที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกัน การควบคุมและการตรวจสอบธุรกรรมอยู่ในมือของกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ถูกใช้ในการสร้างแพลตฟอร์มร่วมกันสำหรับการทำธุรกรรม.
  5. Multichain เป็น Blockchain ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สร้างและดำเนินการ Blockchain ของตัวเอง โดยมีความยืดหยุ่นในการกำหนดค่าและการทำงาน สามารถใช้ในรูปแบบของ Public, Private, หรือ Consortium Blockchain ตามความต้องการ.

ตัวอย่าง blockchain ในไทย

Bitkub, Zipmex, และ Bitazza เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่ให้บริการในประเทศไทย โดยมีความแตกต่างในบริการและคุณสมบัติต่างๆ ดังนี้:

  1. Bitkub:
    • Bitkub เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย.
    • มีสกุลเงินดิจิทัลหลายร้อยสกุลที่สามารถซื้อขายได้.
    • ให้บริการการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลด้วยเงินบาทไทย (THB).
    • มีแอพพลิเคชันมือถือสำหรับการซื้อขายที่สะดวก.
    • มีระบบความปลอดภัยที่มั่นคงในการรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล.
  2. Zipmex:
    • Zipmex เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่มีบริการในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก.
    • มีสกุลเงินดิจิทัลหลายร้อยสกุลที่สามารถซื้อขายได้.
    • ให้บริการการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลด้วยเงินบาทไทย (THB) และสกุลเงินอื่นๆ.
    • มีแอพพลิเคชันมือถือสำหรับการซื้อขายที่สะดวก.
    • มีระบบความปลอดภัยที่มั่นคงในการรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล.
  3. Bitazza:
    • Bitazza เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย.
    • มีสกุลเงินดิจิทัลหลายร้อยสกุลที่สามารถซื้อขายได้.
    • ให้บริการการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลด้วยเงินบาทไทย (THB) และสกุลเงินอื่นๆ.
    • มีแอพพลิเคชันมือถือสำหรับการซื้อขายที่สะดวก.
    • มีระบบความปลอดภัยที่มั่นคงในการรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล.