Fork คริปโตคืออะไร Hardfork soft fork คืออะไร มีกระบวนการอย่างไร อธิบายข้อมูลและขั้นตอน ผลของการ fork

Fork คริปโตคืออะไร Hardfork soft fork คืออะไร
Fork คริปโตคืออะไร Hardfork soft fork คืออะไร
Fork คริปโตคืออะไร Hardfork soft fork คืออะไร

Fork คริปโตคืออะไร

ฟอร์ก (Fork) ในคริปโตคือกระบวนการที่สร้างความแตกต่างในโครงสร้างหรือโค้ดของบล็อกเชน (blockchain) หรือโปรโตคอลคริปโตค่ายใดๆ โดยมักเกิดขึ้นเมื่อมีการแบ่งแยกความเห็นหรือแนวคิดของชุมชนหรือผู้ดูแลระบบเกี่ยวกับการปรับปรุงหรือการเปลี่ยนแปลงในโค้ดหรือกฎระเบียบที่เป็นที่ยอมรับของเครือข่ายคริปโตคนั้นๆ Hard Fork เกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของบล็อกเชนที่ต้องการการอัพเกรดโหนด (nodes) เพื่อใช้งานร่วมกัน สกุลเงินดิจิทัลใหม่จะถูกสร้างขึ้นแยกจากต้นฉบับ เช่น Ethereum แบ่งแยกเป็น Ethereum (ETH) และ Ethereum Classic (ETC) หลังจาก  Fork มีสองประเภทหลักคือ Hard Fork และ Soft Fork. ดังนี้

  1. Hard Fork เกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของบล็อกเชนที่ทำให้โหนด (nodes) ที่อยู่ในเครือข่ายต้องทำการอัพเกรดเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างถูกต้อง โดย Hard Fork ที่เกิดขึ้นนั้นจะสร้างสกุลเงินดิจิทัลใหม่ที่แยกจากต้นฉบับ ตัวอย่างเช่น Ethereum แบ่งแยกเป็น Ethereum (ETH) และ Ethereum Classic (ETC) หลังจาก Hard Fork ที่เกิดขึ้นในปี 2016.
  2. Soft Fork  เกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของบล็อกเชนที่ยังคงเป็นเวอร์ชันย้อนหลังที่ยอมรับโดยโหนดปัจจุบัน นั่นหมายความว่าไม่จำเป็นต้องมีการอัพเกรดโหนด สกุลเงินดิจิทัลจะยังคงเดิม ตัวอย่างเช่น Segregated Witness (SegWit) ที่ใช้กับบิทคอยน์ (Bitcoin) เป็น Soft Fork ที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบโดยไม่ต้องแบ่งแยกสกุลเงินใหม่.

Hard fork คืออะไร

Hard Fork หมายถึงการแบ่งแยกบล็อกเชน (blockchain) ออกเป็นสองส่วนหรือมากกว่า เพื่อสร้างแบบโครงสร้างใหม่ที่แตกต่างจากเวอร์ชันเดิม ในบริบทของ cryptocurrencies และบล็อกเชน, Hard Fork เป็นการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของบล็อกเชนที่ทำให้โหนด (nodes) ที่อยู่ในเครือข่ายต้องทำการอัพเกรดเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างถูกต้อง โดย Hard Fork ที่เกิดขึ้นจะสร้างสกุลเงินดิจิทัลใหม่ที่แยกจากต้นฉบับ.

Hard Fork สามารถเกิดขึ้นเพื่อหลายเหตุผล รวมถึงการปรับปรุงฟีเจอร์ใหม่, การแก้ไขปัญหาความปลอดภัย, การเปลี่ยนแปลงนโยบาย, หรือการแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เมื่อ Hard Fork เกิดขึ้น, สามารถเกิดการแบ่งแยกของคอมมูนิตี้คริปโต (cryptocurrency community) โดยคนบางคนอาจเลือกตามสกุลเงินดิจิทัลที่ถูก Fork และคนบางคนอาจเลือกยังคงใช้เวอร์ชันเดิม ตัวอย่างของ Hard Fork ที่เกิดขึ้นได้แก่:

  • Bitcoin Cash (BCH): เกิดจาก Hard Fork ของ Bitcoin (BTC) เพื่อเพิ่มขนาดบล็อกและปรับปรุงความเร็วในการดำเนินการการชำระเงิน.
  • Ethereum Classic (ETC): เกิดจาก Hard Fork ของ Ethereum (ETH) หลังจากเกิดการโจมตีทางคอมพิวเตอร์ต่อบล็อกเชน Ethereum ฉบับเดิม.
    Ethereum Classic (ETC)
    Ethereum Classic (ETC)
  • Bitcoin SV (BSV): เกิดจาก Hard Fork ของ Bitcoin Cash (BCH) โดยมีวัตถุประสงค์เพิ่มขนาดบล็อกและทำให้โครงสร้างเข้ากับเครื่องมือทางธุรกิจมากขึ้น.

Soft Fork คืออะไร

Soft Fork หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของบล็อกเชน (blockchain) ที่ยังคงเป็นเวอร์ชันย้อนหลังที่โหนด (nodes) ปัจจุบันยอมรับ แต่ไม่ได้เริ่มต้นสร้างสกุลเงินดิจิทัลใหม่ ดังนั้น Soft Fork ไม่แบ่งแยกสกุลเงินดิจิทัลหรือต้องการการอัพเกรดของโหนดเพื่อทำงานร่วมกัน ความแตกต่างระหว่าง Soft Fork และ Hard Fork คือ Soft Fork ยังคงทำให้โหนดเดิมสามารถทำงานกับบล็อกเชนแบบเดิมได้โดยไม่ต้องอัพเกรด แต่ Hard Fork ต้องการการอัพเกรด ตัวอย่างของ Soft Fork และความสามารถของมันได้แก่

  1. Segregated Witness บนบิทคอยน์ Bitcoin: SegWit เป็นตัวอย่างของ Soft Fork ที่ช่วยปรับปรุงโครงสร้างของบล็อกเชน Bitcoin โดยการย้ายข้อมูลการทำธุรกรรมออกจากบล็อกหลักและลดขนาดข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในบล็อก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งโหนดบิทคอยน์เดิมยังคงสามารถรับบล็อกที่มี SegWit ได้โดยไม่ต้องอัพเกรด.
  2. P2SH (Pay-to-Script-Hash) บน Bitcoin: อีกตัวอย่างของ Soft Fork ใน Bitcoin คือการใช้ P2SH ที่อนุญาตให้ส่งเงินไปยังที่อยู่ที่มีเงื่อนไขการตรวจสอบโดยใช้สคริปต์ (script) โดยโหนดบิทคอยน์เดิมยังคงรู้จักและยอมรับการส่งเงินด้วย P2SH.

Fork มีกระบวนการอย่างไร

กระบวนการ Fork ในบล็อกเชนมีขั้นตอนหลายขั้นตอนที่ต้องทำเพื่อแบ่งแยกโครงสร้างของบล็อกเชนออกเป็นสองส่วนหรือมากกว่า ขั้นตอนเหล่านี้มักถูกทำโดยชุมชนและผู้พัฒนาบล็อกเชน ต่อไปนี้คือกระบวนการ Fork ทั่วไปในบล็อกเชน:

Fork มีกระบวนการอย่างไร
Fork มีกระบวนการอย่างไร
  1. แนวคิดและเหตุผล: กระบวนการ Fork ของบล็อกเชนเริ่มต้นจากแนวคิดหรือเหตุผลที่สร้างความจำเป็นในการแบ่งแยกโครงสร้างของบล็อกเชน อาจเป็นเหตุผลทางเทคนิค เช่น การปรับปรุงฟีเจอร์หรือความปลอดภัย หรือเหตุผลทางนโยบาย เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการใช้งาน.
  2. การพัฒนาโค้ดใหม่: นักพัฒนาโค้ดจะเริ่มต้นการพัฒนาโค้ดที่มีการเปลี่ยนแปลงตามแนวคิดหรือเหตุผลที่กำหนด โค้ดนี้จะกลายเป็นเวอร์ชันใหม่ของโครงสร้างบล็อกเชน.
  3. การทดสอบและการรวบรวมความเห็น: โค้ดใหม่จะถูกทดสอบโดยคนพัฒนาและชุมชนเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความปลอดภัย ในขณะเดียวกัน ความเห็นและความเสนอแนะจะถูกรวบรวมจากชุมชนและผู้ใช้บล็อกเชน.
  4. การอนุมัติ: เมื่อโค้ดใหม่ได้รับการทดสอบและรวบรวมความเห็นมาเพียงพอ กลุ่มผู้เกี่ยวข้องในโครงการ (อาจเป็นนักพัฒนาหลักหรือผู้ถือสิทธิ์ในโครงสร้าง) จะต้องอนุมัติการ Fork.
  5. การประกาศ: การ Fork จะถูกประกาศให้ทราบในชุมชนและในโครงสร้างบล็อกเชนเอง ประกาศรวมถึงเวลาที่ Fork จะเกิดขึ้น (โดยมักจะเรียกวันนั้นว่า “Hard Fork” หรือ “Soft Fork”).
  6. การดำเนินการ Fork: ในวันที่กำหนด Fork จะเกิดขึ้น โหนดในเครือข่ายจะต้องปรับตัวเพื่อรองรับโครงสร้างใหม่ หรือให้การอัพเกรดตามที่กำหนด.
  7. การดำเนินการหลัง Fork: หลังจาก Fork โหนดใหม่จะเริ่มรับบล็อกและดำเนินการตามโครงสร้างใหม่ ผู้ถือสกุลเงินจะต้องปรับตัวเพื่อรองรับการใช้งานกับโครงสร้างใหม่.

การ Fork เกิดขึ้นเพราะอะไร

การ Fork ในบล็อกเชนเป็นกระบวนการที่มีผลกระทบต่อชุมชนและผู้ถือสกุลเงินดิจิทัล แต่มักเป็นทางเลือกที่จำเป็นเพื่อพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างบล็อกเชนให้ตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบบล็อกเชนและสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสาเหตุที่ต้องมีการอัปเดตบล็อกเชน คือ

การ Fork เกิดขึ้นเพราะอะไร
การ Fork เกิดขึ้นเพราะอะไร
  1. เพื่อเพิ่มฟังก์ชันการทำงาน: Fork สามารถเกิดขึ้นเพื่อเพิ่มฟังก์ชันใหม่หรือปรับปรุงฟีเจอร์ที่มีอยู่เพื่อทำให้บล็อกเชนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการเพิ่มความเร็วในการดำเนินการ, การสนับสนุนสัญญาอัจฉริยะ (smart contracts), หรือความสามารถใหม่ในการจัดการข้อมูล.
  2. เพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: Fork สามารถเกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาความปลอดภัยหรือเครื่องมือที่ไม่ปลอดภัยในโครงสร้างเดิม โดยการปรับปรุงเทคโนโลยีหรือวิธีการในการจัดเก็บและยืนยันการทำธุรกรรม เป็นตัวอย่างหนึ่งของการ Fork เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัย.
  3. เพื่อหาข้อสรุปให้กับความเห็นที่แตกต่างกันของคนในชุมชนเกี่ยวกับทิศทางของสกุลเงินดิจิทัลนั้นๆ: บางครั้ง Fork เกิดขึ้นเนื่องจากคนในชุมชนไม่ได้เห็นด้วยกันในเรื่องทิศทางของโครงการหรือสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดสกุลเงินดิจิทัลที่แยกต่างหากและดำเนินโครงการในทิศทางที่แตกต่าง.

ผลของการ fork

ผลของการ Fork ในบล็อกเชนอาจมีผลกระทบหลายอย่างต่อชุมชนและผู้ใช้บล็อกเชน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับลักษณะและเหตุผลในการ Fork รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้อง ต่อไปนี้คือผลที่อาจเกิดขึ้นจากการ Fork

  1. การ Fork เป็นการปรับปรุง (Upgrade):
    การ Fork เป็นการปรับปรุง (Upgrade)
    การ Fork เป็นการปรับปรุง (Upgrade)
    • ความหมาย: การ Fork ในบล็อกเชนมีบางครั้งเป็นกระบวนการการปรับปรุงโครงสร้างบล็อกเชน เพื่อเพิ่มความสามารถใหม่หรือแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในรุ่นเก่าของโครงสร้างบล็อกเชน.
    • ตัวอย่าง: การ Fork ในบล็อกเชน Ethereum สามารถเป็นการปรับปรุงโครงสร้างเพื่อเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เช่นการสนับสนุนสัญญาอัจฉริยะ (smart contracts) หรือการเพิ่มความปลอดภัย.
  2. สร้างแพลตฟอร์มที่แยกต่างหาก (Platform Divergence):
    • ความหมาย: การ Fork อาจสร้างแพลตฟอร์มใหม่ที่แยกต่างหากจากเวอร์ชันเดิมของโครงสร้างบล็อกเชน ผู้ใช้สามารถเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ตรงกับความต้องการของพวกเขาและชุมชนแยกต่างหากอาจพัฒนาแพลตฟอร์มเหล่านี้ในทิศทางที่แตกต่างกัน.
    • ตัวอย่าง: Ethereum และ Ethereum Classic เป็นตัวอย่างของการ Fork ที่สร้างแพลตฟอร์มที่แยกต่างหาก โดย Ethereum Classic เลือกติดตามโครงสร้างเดิมของ Ethereum ในขณะที่ Ethereum ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาต่อยอด.
  3. การทดสอบแนวคิดใหม่ (Testing New Ideas):
    • ความหมาย: Fork อาจเป็นโอกาสในการทดสอบแนวคิดใหม่หรือเทคโนโลยีใหม่ โดยการปรับปรุงโครงสร้างเดิมเพื่อรองรับความน่าจะเป็นของนวัตกรรมนั้น นี้อาจช่วยในการสร้างนวัตกรรมและความพร้อมในระยะยาว.
    • ตัวอย่าง: การ Fork อาจนำเข้าเทคโนโลยีใหม่เช่นการเปลี่ยนแปลงวิธีการการทำธุรกรรมหรือการเก็บข้อมูลบล็อกเชนเพื่อทดสอบความเป็นไปได้ของนวัตกรรมนั้น.
  4. การแยกแยะนโยบายและความเห็น (Policy and Opinion Divergence):
    • ความหมาย: การ Fork อาจเกิดขึ้นเมื่อมีความไม่เห็นในนโยบายและความเห็นในชุมชน และผู้ใช้สามารถเลือกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ตรงกับความเห็นของพวกเขา.
    • ตัวอย่าง: การ Fork ในบล็อกเชน Bitcoin ทำให้เกิด Bitcoin Cash โดยผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการปรับปรุงขนาดบล็อก Bitcoin จึงเลือกใช้ Bitcoin Cash ที่มีนโยบายแตกต่างกัน.
  5. การอัพเกรดและปรับปรุง (Upgrades and Improvements):
    • ความหมาย: Fork สามารถเป็นโอกาสในการอัพเกรดและปรับปรุงโครงสร้างบล็อกเชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบบล็อกเชน.
    • ตัวอย่าง: Ethereum 2.0 คือการ Fork ที่ออกแบบเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและปลอดภัยของ Ethereum และเพิ่มความสามารถใหม่ เช่นการพิสูจน์การถือสิทธิ์ (Proof of Stake) และการลดการใช้งานพลังงาน.