Fork คริปโตคืออะไร
ฟอร์ก (Fork) ในคริปโตคือกระบวนการที่สร้างความแตกต่างในโครงสร้างหรือโค้ดของบล็อกเชน (blockchain) หรือโปรโตคอลคริปโตค่ายใดๆ โดยมักเกิดขึ้นเมื่อมีการแบ่งแยกความเห็นหรือแนวคิดของชุมชนหรือผู้ดูแลระบบเกี่ยวกับการปรับปรุงหรือการเปลี่ยนแปลงในโค้ดหรือกฎระเบียบที่เป็นที่ยอมรับของเครือข่ายคริปโตคนั้นๆ Hard Fork เกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของบล็อกเชนที่ต้องการการอัพเกรดโหนด (nodes) เพื่อใช้งานร่วมกัน สกุลเงินดิจิทัลใหม่จะถูกสร้างขึ้นแยกจากต้นฉบับ เช่น Ethereum แบ่งแยกเป็น Ethereum (ETH) และ Ethereum Classic (ETC) หลังจาก Fork มีสองประเภทหลักคือ Hard Fork และ Soft Fork. ดังนี้
- Hard Fork เกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของบล็อกเชนที่ทำให้โหนด (nodes) ที่อยู่ในเครือข่ายต้องทำการอัพเกรดเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างถูกต้อง โดย Hard Fork ที่เกิดขึ้นนั้นจะสร้างสกุลเงินดิจิทัลใหม่ที่แยกจากต้นฉบับ ตัวอย่างเช่น Ethereum แบ่งแยกเป็น Ethereum (ETH) และ Ethereum Classic (ETC) หลังจาก Hard Fork ที่เกิดขึ้นในปี 2016.
- Soft Fork เกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของบล็อกเชนที่ยังคงเป็นเวอร์ชันย้อนหลังที่ยอมรับโดยโหนดปัจจุบัน นั่นหมายความว่าไม่จำเป็นต้องมีการอัพเกรดโหนด สกุลเงินดิจิทัลจะยังคงเดิม ตัวอย่างเช่น Segregated Witness (SegWit) ที่ใช้กับบิทคอยน์ (Bitcoin) เป็น Soft Fork ที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบโดยไม่ต้องแบ่งแยกสกุลเงินใหม่.
Hard fork คืออะไร
Hard Fork หมายถึงการแบ่งแยกบล็อกเชน (blockchain) ออกเป็นสองส่วนหรือมากกว่า เพื่อสร้างแบบโครงสร้างใหม่ที่แตกต่างจากเวอร์ชันเดิม ในบริบทของ cryptocurrencies และบล็อกเชน, Hard Fork เป็นการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของบล็อกเชนที่ทำให้โหนด (nodes) ที่อยู่ในเครือข่ายต้องทำการอัพเกรดเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างถูกต้อง โดย Hard Fork ที่เกิดขึ้นจะสร้างสกุลเงินดิจิทัลใหม่ที่แยกจากต้นฉบับ.
Hard Fork สามารถเกิดขึ้นเพื่อหลายเหตุผล รวมถึงการปรับปรุงฟีเจอร์ใหม่, การแก้ไขปัญหาความปลอดภัย, การเปลี่ยนแปลงนโยบาย, หรือการแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เมื่อ Hard Fork เกิดขึ้น, สามารถเกิดการแบ่งแยกของคอมมูนิตี้คริปโต (cryptocurrency community) โดยคนบางคนอาจเลือกตามสกุลเงินดิจิทัลที่ถูก Fork และคนบางคนอาจเลือกยังคงใช้เวอร์ชันเดิม ตัวอย่างของ Hard Fork ที่เกิดขึ้นได้แก่:
- Bitcoin Cash (BCH): เกิดจาก Hard Fork ของ Bitcoin (BTC) เพื่อเพิ่มขนาดบล็อกและปรับปรุงความเร็วในการดำเนินการการชำระเงิน.
- Ethereum Classic (ETC): เกิดจาก Hard Fork ของ Ethereum (ETH) หลังจากเกิดการโจมตีทางคอมพิวเตอร์ต่อบล็อกเชน Ethereum ฉบับเดิม.
- Bitcoin SV (BSV): เกิดจาก Hard Fork ของ Bitcoin Cash (BCH) โดยมีวัตถุประสงค์เพิ่มขนาดบล็อกและทำให้โครงสร้างเข้ากับเครื่องมือทางธุรกิจมากขึ้น.
Soft Fork คืออะไร
Soft Fork หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของบล็อกเชน (blockchain) ที่ยังคงเป็นเวอร์ชันย้อนหลังที่โหนด (nodes) ปัจจุบันยอมรับ แต่ไม่ได้เริ่มต้นสร้างสกุลเงินดิจิทัลใหม่ ดังนั้น Soft Fork ไม่แบ่งแยกสกุลเงินดิจิทัลหรือต้องการการอัพเกรดของโหนดเพื่อทำงานร่วมกัน ความแตกต่างระหว่าง Soft Fork และ Hard Fork คือ Soft Fork ยังคงทำให้โหนดเดิมสามารถทำงานกับบล็อกเชนแบบเดิมได้โดยไม่ต้องอัพเกรด แต่ Hard Fork ต้องการการอัพเกรด ตัวอย่างของ Soft Fork และความสามารถของมันได้แก่
- Segregated Witness บนบิทคอยน์ Bitcoin: SegWit เป็นตัวอย่างของ Soft Fork ที่ช่วยปรับปรุงโครงสร้างของบล็อกเชน Bitcoin โดยการย้ายข้อมูลการทำธุรกรรมออกจากบล็อกหลักและลดขนาดข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในบล็อก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งโหนดบิทคอยน์เดิมยังคงสามารถรับบล็อกที่มี SegWit ได้โดยไม่ต้องอัพเกรด.
- P2SH (Pay-to-Script-Hash) บน Bitcoin: อีกตัวอย่างของ Soft Fork ใน Bitcoin คือการใช้ P2SH ที่อนุญาตให้ส่งเงินไปยังที่อยู่ที่มีเงื่อนไขการตรวจสอบโดยใช้สคริปต์ (script) โดยโหนดบิทคอยน์เดิมยังคงรู้จักและยอมรับการส่งเงินด้วย P2SH.
Fork มีกระบวนการอย่างไร
กระบวนการ Fork ในบล็อกเชนมีขั้นตอนหลายขั้นตอนที่ต้องทำเพื่อแบ่งแยกโครงสร้างของบล็อกเชนออกเป็นสองส่วนหรือมากกว่า ขั้นตอนเหล่านี้มักถูกทำโดยชุมชนและผู้พัฒนาบล็อกเชน ต่อไปนี้คือกระบวนการ Fork ทั่วไปในบล็อกเชน:
- แนวคิดและเหตุผล: กระบวนการ Fork ของบล็อกเชนเริ่มต้นจากแนวคิดหรือเหตุผลที่สร้างความจำเป็นในการแบ่งแยกโครงสร้างของบล็อกเชน อาจเป็นเหตุผลทางเทคนิค เช่น การปรับปรุงฟีเจอร์หรือความปลอดภัย หรือเหตุผลทางนโยบาย เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการใช้งาน.
- การพัฒนาโค้ดใหม่: นักพัฒนาโค้ดจะเริ่มต้นการพัฒนาโค้ดที่มีการเปลี่ยนแปลงตามแนวคิดหรือเหตุผลที่กำหนด โค้ดนี้จะกลายเป็นเวอร์ชันใหม่ของโครงสร้างบล็อกเชน.
- การทดสอบและการรวบรวมความเห็น: โค้ดใหม่จะถูกทดสอบโดยคนพัฒนาและชุมชนเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความปลอดภัย ในขณะเดียวกัน ความเห็นและความเสนอแนะจะถูกรวบรวมจากชุมชนและผู้ใช้บล็อกเชน.
- การอนุมัติ: เมื่อโค้ดใหม่ได้รับการทดสอบและรวบรวมความเห็นมาเพียงพอ กลุ่มผู้เกี่ยวข้องในโครงการ (อาจเป็นนักพัฒนาหลักหรือผู้ถือสิทธิ์ในโครงสร้าง) จะต้องอนุมัติการ Fork.
- การประกาศ: การ Fork จะถูกประกาศให้ทราบในชุมชนและในโครงสร้างบล็อกเชนเอง ประกาศรวมถึงเวลาที่ Fork จะเกิดขึ้น (โดยมักจะเรียกวันนั้นว่า “Hard Fork” หรือ “Soft Fork”).
- การดำเนินการ Fork: ในวันที่กำหนด Fork จะเกิดขึ้น โหนดในเครือข่ายจะต้องปรับตัวเพื่อรองรับโครงสร้างใหม่ หรือให้การอัพเกรดตามที่กำหนด.
- การดำเนินการหลัง Fork: หลังจาก Fork โหนดใหม่จะเริ่มรับบล็อกและดำเนินการตามโครงสร้างใหม่ ผู้ถือสกุลเงินจะต้องปรับตัวเพื่อรองรับการใช้งานกับโครงสร้างใหม่.
การ Fork เกิดขึ้นเพราะอะไร
การ Fork ในบล็อกเชนเป็นกระบวนการที่มีผลกระทบต่อชุมชนและผู้ถือสกุลเงินดิจิทัล แต่มักเป็นทางเลือกที่จำเป็นเพื่อพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างบล็อกเชนให้ตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบบล็อกเชนและสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสาเหตุที่ต้องมีการอัปเดตบล็อกเชน คือ
- เพื่อเพิ่มฟังก์ชันการทำงาน: Fork สามารถเกิดขึ้นเพื่อเพิ่มฟังก์ชันใหม่หรือปรับปรุงฟีเจอร์ที่มีอยู่เพื่อทำให้บล็อกเชนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการเพิ่มความเร็วในการดำเนินการ, การสนับสนุนสัญญาอัจฉริยะ (smart contracts), หรือความสามารถใหม่ในการจัดการข้อมูล.
- เพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: Fork สามารถเกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาความปลอดภัยหรือเครื่องมือที่ไม่ปลอดภัยในโครงสร้างเดิม โดยการปรับปรุงเทคโนโลยีหรือวิธีการในการจัดเก็บและยืนยันการทำธุรกรรม เป็นตัวอย่างหนึ่งของการ Fork เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัย.
- เพื่อหาข้อสรุปให้กับความเห็นที่แตกต่างกันของคนในชุมชนเกี่ยวกับทิศทางของสกุลเงินดิจิทัลนั้นๆ: บางครั้ง Fork เกิดขึ้นเนื่องจากคนในชุมชนไม่ได้เห็นด้วยกันในเรื่องทิศทางของโครงการหรือสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดสกุลเงินดิจิทัลที่แยกต่างหากและดำเนินโครงการในทิศทางที่แตกต่าง.
ผลของการ fork
ผลของการ Fork ในบล็อกเชนอาจมีผลกระทบหลายอย่างต่อชุมชนและผู้ใช้บล็อกเชน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับลักษณะและเหตุผลในการ Fork รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้อง ต่อไปนี้คือผลที่อาจเกิดขึ้นจากการ Fork
- การ Fork เป็นการปรับปรุง (Upgrade):
- ความหมาย: การ Fork ในบล็อกเชนมีบางครั้งเป็นกระบวนการการปรับปรุงโครงสร้างบล็อกเชน เพื่อเพิ่มความสามารถใหม่หรือแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในรุ่นเก่าของโครงสร้างบล็อกเชน.
- ตัวอย่าง: การ Fork ในบล็อกเชน Ethereum สามารถเป็นการปรับปรุงโครงสร้างเพื่อเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เช่นการสนับสนุนสัญญาอัจฉริยะ (smart contracts) หรือการเพิ่มความปลอดภัย.
- สร้างแพลตฟอร์มที่แยกต่างหาก (Platform Divergence):
- ความหมาย: การ Fork อาจสร้างแพลตฟอร์มใหม่ที่แยกต่างหากจากเวอร์ชันเดิมของโครงสร้างบล็อกเชน ผู้ใช้สามารถเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ตรงกับความต้องการของพวกเขาและชุมชนแยกต่างหากอาจพัฒนาแพลตฟอร์มเหล่านี้ในทิศทางที่แตกต่างกัน.
- ตัวอย่าง: Ethereum และ Ethereum Classic เป็นตัวอย่างของการ Fork ที่สร้างแพลตฟอร์มที่แยกต่างหาก โดย Ethereum Classic เลือกติดตามโครงสร้างเดิมของ Ethereum ในขณะที่ Ethereum ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาต่อยอด.
- การทดสอบแนวคิดใหม่ (Testing New Ideas):
- ความหมาย: Fork อาจเป็นโอกาสในการทดสอบแนวคิดใหม่หรือเทคโนโลยีใหม่ โดยการปรับปรุงโครงสร้างเดิมเพื่อรองรับความน่าจะเป็นของนวัตกรรมนั้น นี้อาจช่วยในการสร้างนวัตกรรมและความพร้อมในระยะยาว.
- ตัวอย่าง: การ Fork อาจนำเข้าเทคโนโลยีใหม่เช่นการเปลี่ยนแปลงวิธีการการทำธุรกรรมหรือการเก็บข้อมูลบล็อกเชนเพื่อทดสอบความเป็นไปได้ของนวัตกรรมนั้น.
- การแยกแยะนโยบายและความเห็น (Policy and Opinion Divergence):
- ความหมาย: การ Fork อาจเกิดขึ้นเมื่อมีความไม่เห็นในนโยบายและความเห็นในชุมชน และผู้ใช้สามารถเลือกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ตรงกับความเห็นของพวกเขา.
- ตัวอย่าง: การ Fork ในบล็อกเชน Bitcoin ทำให้เกิด Bitcoin Cash โดยผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการปรับปรุงขนาดบล็อก Bitcoin จึงเลือกใช้ Bitcoin Cash ที่มีนโยบายแตกต่างกัน.
- การอัพเกรดและปรับปรุง (Upgrades and Improvements):
- ความหมาย: Fork สามารถเป็นโอกาสในการอัพเกรดและปรับปรุงโครงสร้างบล็อกเชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบบล็อกเชน.
- ตัวอย่าง: Ethereum 2.0 คือการ Fork ที่ออกแบบเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและปลอดภัยของ Ethereum และเพิ่มความสามารถใหม่ เช่นการพิสูจน์การถือสิทธิ์ (Proof of Stake) และการลดการใช้งานพลังงาน.