ico ต่างจาก ipo อย่างไร ICO ย่อมาจาก คืออะไร ico ที่น่าสนใจ ปลอดภัยไหม การทำเงินจาก ICO

ICO กับ IPO ต่างกันอย่างไร

ICO คืออะไร

การเสนอขาย ICO หรือ Initial Coin Offering คือ วิธีหนึ่งที่องค์กรที่กำลังพัฒนาโครงการใหม่ สามารถระดมทุนจากสาธารณชนโดยการเสนอขายโทเคนดิจิทัล (tokens) ที่สร้างขึ้นผ่านระบบบล็อกเชน (blockchain) ให้กับนักลงทุน นักลงทุนที่ซื้อโทเคนเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการรับบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโครงการนั้นในอนาคต

นี้สามารถแบ่งเป็นสองประเภท คือ Private ICO และ Public ICO:

  1. Private Initial Coin Offering (Private ICO)
    • มีเฉพาะนักลงทุนที่ได้รับการรับรองและจำนวนจำกัดเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วม
    • นักลงทุนเหล่านี้มักจะเป็นสถาบันการเงินหรือบุคคลที่มีรายได้สูง
    • บริษัทสามารถกำหนดจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำ
    • เป็นวิธีที่ดีในการทดสอบความตั้งใจของนักลงทุนและเก็บเกี่ยวคำแนะนำก่อนเปิด ICO ให้กับสาธารณชน
  2. Public Initial Coin Offering (Public ICO)
    • เปิดให้นักลงทุนทั่วไปสามารถเข้าร่วม
    • ให้โอกาสให้ทุกคนสามารถเป็นนักลงทุน
    • ส่งเสริมความประชาธิปไตยในการลงทุน

การแบ่งปัน: นักลงทุนสามารถแบ่งปันข้อมูลนี้ผ่านทาง Facebook หรือ Telegram เพื่อแนะนำโอกาสในการลงทุนใหม่นี้ให้กับคนอื่น

การลงทุนใน ICO สามารถนำไปสู่ผลตอบแทนที่น่าสนใจ ซึ่งนักลงทุนสามารถนำโทเคนที่ซื้อได้มาใช้ประโยชน์จากบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากโครงการนั้นๆ ในอนาคต.

ICO กับ IPO ต่างกันอย่างไร
ICO กับ IPO ต่างกันอย่างไร

ICO (Initial Coin Offering) และ ICO Portal เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และสำคัญที่ควรทราบก่อนการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยง

  1. ICO (Initial Coin Offering):
    • ICO เป็นการระดมทุนที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อสนับสนุนบริษัทที่ต้องการเงินทุน
    • บริษัทนำเสนอโทเคนให้แก่ผู้ลงทุนทั่วโลกที่สนใจลงทุนในโครงการ
    • ผู้ลงทุนแลกคริปโทเคอร์เรนซีเพื่อรับโทเคนของบริษัท
  2. ICO Portal:
    • ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.
    • มีหน้าที่กลั่นกรอง ICO ที่จะเสนอขายและเป็นช่องทางการเสนอขาย
    • ประชาสัมพันธ์และตรวจสอบความถูกต้องของโครงการและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
  3. เรื่องที่ควรทราบก่อนลงทุน:
    • ตรวจสอบข้อมูล ICO และบริษัท ICO Portal ที่ได้รับอนุญาต
    • ศึกษาเอกสารประกอบการเสนอขาย (Whitepaper)
    • ควรรู้จักกับคุณสมบัติและเงื่อนไขของผู้ลงทุน

ข่าวล่าสุด: บริษัท Kubix ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม KBTG และ KBANK เป็นธนาคารแห่งแรกในไทยที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ในวันที่ 12 ม.ค. 2565

IPO คืออะไร

IPO คือการเสนอขายหุ้นเป็นครั้งแรกของบริษัทต่อสาธารณะ โดยเป้าหมายเพื่อระดมเงินทุนเพื่อธุรกิจหรือการขยายตัวของบริษัท ในกระบวนการนี้ บริษัทจะต้องผ่านขั้นตอนและเงื่อนไขต่าง ๆ ตามกฎหมายและกลต. ได้แก่:

IPO คืออะไร
IPO คืออะไร
  • IPO หรือ Initial Public Offering คือการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้กับสาธารณะชนเพื่อระดมทุน.
  • บริษัทที่เสนอ IPO จะเปลี่ยนสถานะจากบริษัทเอกชนเป็นบริษัทมหาชน ทำให้นักลงทุนทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมลงทุนได้.
  • โดยปกติบริษัทที่ต้องการ IPO จะต้องมีมูลค่าตามกฎหมายและเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งหากมีมูลค่าราว 1 พันล้านเหรียญ ก็จะกลายเป็นบริษัทยูนิคอร์น.

IPO แล้วใครได้ประโยชน์

  1. บริษัท:
    • รับเงินทุนจากนักลงทุนเพื่อขยายธุรกิจหรือพัฒนาโครงการใหม่.
    • เงินทุนที่ได้รับจาก IPO ไม่ได้มาจากการกู้ยืม แต่มาจากการขายหุ้น จึงไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยหรือส่งคืนเงิน.
    • เพิ่มความเชื่อถือและความโปร่งใสในการบริหารธุรกิจ เนื่องจากต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และตรวจสอบบัญชีตามกฎหมาย.
  2. ผู้ถือหุ้น และ นักลงทุน:
    • ผู้ถือหุ้นเดิมหรือนักลงทุนวงในสามารถขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้ ทำให้ได้รับผลตอบแทน.
    • นักลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนในบริษัทที่เปิด IPO และมีโอกาสได้รับผลกำไรจากการเติบโตของบริษัท.
    • บริษัทที่เปิด IPO ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น.

IPO เป็นตัวเลือกการระดมทุนสำหรับบริษัทที่ต้องการขยายธุรกิจ และนำเสนอโอกาสให้นักลงทุนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วม.

 

ซื้อหุ้นหลังการ IPO แล้วบริษัทจะได้ทุนเพิ่มหรือไม่?

เมื่อเราพูดถึงการซื้อหุ้นหลังจาก IPO, เราต้องเข้าใจว่ามีสองตลาดหลักที่มีความแตกต่างกันคือตลาดหลัก (Primary Market) และตลาดรอง (Secondary Market) โดยทั่วไปการซื้อขายหุ้นจะเกิดขึ้นในตลาดรอง, ลองมาดูทั้งสองตลาดให้ชัดเจน:

ซื้อหุ้นหลังการ IPO แล้วบริษัทจะได้ทุนเพิ่มหรือไม่.png
ซื้อหุ้นหลังการ IPO แล้วบริษัทจะได้ทุนเพิ่มหรือไม่.png
  1. ตลาดหลัก (Primary Market): ในตลาดนี้, บริษัทที่จัด IPO จะเสนอขายหุ้นของตัวเองให้กับนักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งเงินที่ได้จากการขายหุ้นนี้จะไปเป็นทุนสำหรับบริษัท ในคำอื่นคือ บริษัทจะได้รับทุนเพิ่ม.
  2. ตลาดรอง (Secondary Market): หลังจากที่หุ้นได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แล้ว, นักลงทุนจะมีโอกาสซื้อและขายหุ้นกับนักลงทุนอื่น ๆ ในตลาดนี้ แต่การที่เกิดการซื้อขายในตลาดนี้ไม่ได้ทำให้บริษัทได้รับทุนเพิ่ม ซึ่งเป็นเพียงการเปลี่ยนมือหุ้นจากผู้ถือหุ้นหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง.

ต้องทำอย่างไรถ้าต้องการซื้อหุ้น IPO?

หากคุณต้องการจะซื้อหุ้น IPO ก่อนที่หุ้นนั้น ๆ จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์, คุณต้องติดตามข่าวและประกาศจากบริษัทที่จะจัด IPO ต่อไปนี้ บริษัทจะเปิดให้นักลงทุนสามารถจองซื้อหุ้นได้ในจำนวนที่จำกัด และคุณสามารถทำการจองซื้อผ่านโบรคเกอร์ที่คุณใช้บริการ.

ICO ต่างจาก IPO อย่างไร

การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง IPO (Initial Public Offering) และ ICO (Initial Coin Offering) เป็นเรื่องที่สำคัญเมื่อเราพูดถึงการระดมทุนในตลาดหุ้นและตลาดสกุลเงินดิจิทัล โดยสังเกตความแตกต่างหลัก ๆ ดังนี้:

  1. ความหมาย:

    • IPO: เป็นการเสนอขายหุ้นของบริษัทใหม่สู่นักลงทุนและสาธารณชนผ่านตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุนสำหรับการขยายธุรกิจหรือใช้สำหรับวัตถุประสงค์อื่น ๆ
    • ICO: เป็นการเสนอขายสกุลเงินดิจิทัลหรือ Token ใหม่สู่นักลงทุนผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อระดมทุนสำหรับโปรเจ็กต์ใหม่หรือการพัฒนาโปรเจ็กต์ที่มีอยู่
  2. กฎระเบียบ:

    • IPO: ต้องผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองจากหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์และหุ้น และต้องมีการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินและธุรกิจอย่างมาก
    • ICO: อาจไม่ต้องผ่านการตรวจสอบหรือได้รับการรับรองจากหน่วยงานใด ๆ และมีการเปิดเผยข้อมูลน้อยกว่า
  3. ความเสี่ยง:

    • IPO: มักมีการตรวจสอบอย่างรอบคอบ และมีความเสี่ยงน้อยกว่าในเรื่องของการเปิดเผยข้อมูล
    • ICO: มีความเสี่ยงสูงกว่า เนื่องจากความขาดการกำกับดูแลและการเปิดเผยข้อมูลไม่เต็มที่
  4. ธรรมาภิบาล (Governance):

    ธรรมาภิบาล (Governance)
    ธรรมาภิบาล (Governance)
    • IPO: บริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์มักมีโครงสร้างธรรมาภิบาลที่แน่นอน
    • ICO: ขึ้นอยู่กับผู้สร้างโปรเจ็กต์ และมักขาดโครงสร้างธรรมาภิบาลที่เข้มงวด
  5. ค่าธรรมเนียม:

    • IPO: มีค่าธรรมเนียมและต้นทุนการจัดการการเสนอขายที่สูง
    • ICO: มักมีค่าธรรมเนียมและต้นทุนที่ต่ำกว่า
  6. ธรรมชาติของสินทรัพย์:

    • IPO: นักลงทุนจะได้รับหุ้นของบริษัท ซึ่งเป็นส่วนของสิทธิในการครอบครองบริษัท
    • ICO: นักลงทุนจะได้รับ Token หรือสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งอาจมีสิทธิเฉพาะเจาะจงที่เกี่ยวข้องกับโปรเจ็กต์

การระดมทุนผ่าน IPO และ ICO นั้นมีความแตกต่างทั้งในเรื่องของความเสี่ยง, การกำกับดูแล, และโครงสร้าง ดังนั้นการลงทุนในแต่ละรูปแบบจึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบ.

ขั้นตอนการเสนอ ICO มีอะไรบ้าง

การเสนอขาย ICO ในปัจจุบันประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้:

ขั้นตอนการเสนอ ICO มีอะไรบ้าง
ขั้นตอนการเสนอ ICO มีอะไรบ้าง
  1. การจัดทำ Whitepaper: ผู้ระดมทุนจำเป็นต้องจัดทำเอกสารรายละเอียดธุรกิจหรือ Whitepaper เพื่อนำเสนอให้กับ ICO Portal พิจารณาและตรวจสอบ โดยต้องระบุคุณสมบัติและโครงการของผู้ออก, รวมถึงลักษณะและประเภทของโทเคนที่ต้องการเสนอขาย ให้สอดคล้องและถูกต้องตามสัญญาอัจฉริยะ
  2. ยื่นขออนุญาตเสนอขาย: หลังจากนั้น ผู้ระดมทุนต้องยื่นขออนุญาตเสนอขายและเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องแก่ ก.ล.ต. โดยจะต้องระบุข้อมูลของผู้ออกโทเคน, รายละเอียดแผนธุรกิจ, สิทธิที่ได้รับจากโทเคน, และข้อมูลเกี่ยวกับการเสนอขาย
  3. การพิจารณาของ ก.ล.ต.: ก.ล.ต. จะทำการตรวจสอบและพิจารณาเกี่ยวกับคุณสมบัติ, งบการเงิน, ระบบการดำเนินงานภายในธุรกิจ, และการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ที่ผู้ระดมทุนนำเสนอ
  4. การซื้อโทเคนผ่าน ICO Portal: เมื่อ ก.ล.ต. ได้มีการอนุญาต ผู้ลงทุนสามารถทำการซื้อโทเคนผ่านทาง ICO Portal ได้

ตัวอย่างการระดมทุนผ่าน ICO:

หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือโรงแรม The St. Regis Aspen Resort ที่ตั้งอยู่ในรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ระดมทุนผ่านการออกโทเคน “Aspen Coin” อ้างอิงจากทรัพย์สินของรีสอร์ท และสามารถระดมทุนได้สำเร็จ มูลค่ารวมกว่า 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และผู้ถือโทเคนจะได้รับส่วนแบ่งกำไร, ส่วนลด, และสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากการเข้าพักที่รีสอร์ท

คุณสมบัติของผู้ลงทุน ICO:

ผู้ลงทุนที่สามารถเข้าร่วม ICO มีตามประเภทดังนี้:

  1. ผู้ลงทุนสถาบัน: เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย, ธนาคารพาณิชย์, บริษัทหลักทรัพย์, บริษัทประกันชีวิต, และกองทุนรวม
  2. ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ: เช่น บุคคลธรรมดาที่มีสินทรัพย์สุทธิตั้งแต่ 70 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์ตั้งแต่ 25 ล้านบาทขึ้นไป
  3. นิติบุคคลร่วมลงทุน: หรือกิจการเงินร่วมทุน
  4. ผู้ลงทุนรายย่อย: สามารถลงทุนได้รายละไม่เกิน 300,000 บาทต่อโครงการ