IPFS crypto คืออะไร เปรียบเทียบ http vs ipfs ข้อมูลอย่างละเอียด

IPFS crypto คืออะไร เปรียบเทียบ http vs ipfs
IPFS crypto คืออะไร เปรียบเทียบ http vs ipfs
IPFS crypto คืออะไร เปรียบเทียบ http vs ipfs

IPFS crypto คืออะไร

IPFS (InterPlanetary File System) คือระบบการจัดเก็บและแชร์ข้อมูลแบบกระจายที่ถูกสร้างขึ้นโดย Juan Benet ในปี 2014 โดยจุดประสงค์หลักคือการเปลี่ยนวิธีการจัดเก็บและเข้าถึงข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต ในระบบ IPFS ข้อมูลไม่ได้ถูกจัดเก็บในเซิร์ฟเวอร์หรือที่เซ็นทรัลใด ๆ แต่ถูกแจกจ่ายและจัดเก็บในโหนดที่แตกต่างกันบนเครือข่ายแพร่หลายขั้นตอนของโลก โดย IPFS มีความเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและสมาร์ทคอนแทร็กต์อื่นๆ ที่เน้นการแชร์ข้อมูลแบบกระจายในโลกดิจิทัล

IPFS ใช้เทคโนโลยีการเชื่อมโยงข้อมูลด้วยการใช้ “CID” (Content Identifier) แทน URL เพื่ออ้างอิงถึงข้อมูล ทำให้ข้อมูลสามารถจัดเก็บและค้นหาได้โดยอิสระจากตำแหน่งที่แน่นอนบนเครือข่าย นอกจากนี้ IPFS ยังสนับสนุนการเวียนเชิงข้อมูล (data pinning) โดยให้คนอื่นๆ เข้าถึงและจัดเก็บข้อมูลนั้นๆ ซึ่งทำให้ข้อมูลไม่สูญหายไปง่ายๆ โดย IPFS มีการใช้งานในหลายงาน เช่น การจัดเก็บและแบ่งปันเนื้อหาออนไลน์ การสร้างพื้นที่เก็บข้อมูลแบบกระจายที่แม่แบบเพื่อเว็บแอพพลิเคชัน และการสนับสนุนการพัฒนาเว็บดีเซนท์รัล (Web3) ที่มุ่งเน้นความเป็นเจ้าของข้อมูลและความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

IPFS crypto มีอะไรบ้าง

IPFS มีการใช้งานคริปโตกราฟิคและเทคโนโลยีเกี่ยวกับความปลอดภัยในตั้งต่างๆ เพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่จัดเก็บในระบบ นี่คือบางส่วนของเทคโนโลยีและความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับ IPFS:

IPFS crypto มีอะไรบ้าง
IPFS crypto มีอะไรบ้าง
  1. Hashing: IPFS ใช้ฟังก์ชันแฮช (hash functions) เพื่อสร้าง Content Identifier (CID) ซึ่งเป็นรหัสที่ใช้ระบุข้อมูล การใช้ฟังก์ชันแฮชที่ปลอดภัยช่วยให้ไม่มีข้อมูลใดที่สามารถแก้ไข CID โดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลใน IPFS
  2. Public Key Infrastructure (PKI): IPFS สนับสนุนการใช้งาน Public Key Infrastructure (PKI) เพื่อรับรองตัวตนและความปลอดภัยในการสื่อสาร ผู้ใช้สามารถใช้คีย์สาธารณะและคีย์ส่วนตัวเพื่อรับรองตัวตนและเปิดเผยข้อมูลเฉพาะกับผู้ที่มีสิทธิ์เข้าถึง
  3. Encryption: IPFS สนับสนุนการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัยในการจัดเก็บและส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย IPFS นอกจากนี้ IPFS ยังสนับสนุนการใช้งานเทคโนโลยีเข้ารหัสเพื่อรับรองความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
  4. Access Control: IPFS มีระบบควบคุมการเข้าถึงข้อมูลที่อนุญาตและไม่อนุญาตผ่านการใช้ CID และสิทธิ์การเข้าถึง นี่เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล
  5. Decentralization: การกระจายข้อมูลบนหลายๆ โหนดใน IPFS ทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยจากการสูญหายและการโจมตีในระบบเครือข่าย
  6. Distributed Identity: IPFS สนับสนุนการสร้างตัวรับรองตัวตนแบบกระจาย (Distributed Identity) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวและตัวตนของพวกเขา

IPFS (Inter Planetary File System) ทำงานอย่างไร

IPFS เป็นระบบที่ทำให้เราสามารถแบ่งปันและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างแตกต่างจากโมเดลที่เราใช้กับ HTTP (Hypertext Transfer Protocol) โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้:

IPFS (Inter Planetary File System) ทำงานอย่างไร
IPFS (Inter Planetary File System) ทำงานอย่างไร
  1. การแบ่งข้อมูล: เมื่อคุณอัพโหลดไฟล์ลงใน IPFS, ระบบจะแบ่งข้อมูลเป็นชิ้นย่อยๆ ที่เรียกว่า “บล็อก” โดยแต่ละบล็อกจะถูกจัดเก็บแยกกัน.
  2. การสร้าง Content Identifier (CID): แต่ละบล็อกของข้อมูลจะถูกแปลงเป็น Content Identifier (CID) ซึ่งเป็นรหัสแบบแฮชที่ใช้ระบุข้อมูลนี้ แต่ละ CID สามารถใช้เป็นที่อ้างอิงในการเข้าถึงข้อมูลในอนาคต.
  3. การกระจายข้อมูล: ข้อมูลและ CID ถูกกระจายไปยังโหนด (nodes) หลายๆ โหนดบนเครือข่าย IPFS โดยแต่ละโหนดจะเก็บบล็อกข้อมูลและเป็นโหนดที่มีความสามารถในการร้องขอข้อมูลอื่นๆ จากเครือข่าย.
  4. การเรียกข้อมูล: เมื่อคุณต้องการเข้าถึงข้อมูลจาก IPFS, คุณจะใช้ CID ในการร้องขอข้อมูลที่คุณต้องการจากโหนดใดๆ บนเครือข่าย IPFS. โหนดที่ได้รับคำขอจะค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องและส่งกลับให้คุณ.
  5. ความคงทนต่อความเสียหาย: IPFS มีความคงทนต่อความเสียหาย เนื่องจากข้อมูลถูกกระจายไปยังหลายๆ โหนด หากมีโหนดบางตัวเสียหายหรือถูกปิดการให้บริการ คุณยังสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ผ่านโหนดอื่นๆ ที่ยังคงให้บริการ.
  6. การเปลี่ยนแปลงและความปลอดภัย: IPFS อนุญาตให้คุณเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือเพิ่มข้อมูลใหม่ลงในเครือข่าย แต่หากข้อมูลถูกเปลี่ยนแปลง CID ก็จะเปลี่ยนไปพร้อมกับมัน นี้ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบความถูกต้องและประวัติของข้อมูล.

HTTP คืออะไร

HTTP (Hypertext Transfer Protocol) เป็นโปรโตคอล (Protocol) ที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โปรโตคอลนี้เป็นพื้นฐานและมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารระหว่างเว็บบราวน์เซอร์และเว็บเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยให้เว็บเพจและแอปพลิเคชันที่เกิดขึ้นบนโลกอินเทอร์เน็ตสามารถทำงานได้ตามที่คุณเห็นในปัจจุบัน HTTP ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีหลายรุ่น (HTTP/1.0, HTTP/1.1, HTTP/2, HTTP/3) ที่มีการปรับปรุงและเพิ่มความสามารถต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการสื่อสารบนเว็บในยุคปัจจุบัน คุณสมบัติและความหมายของ HTTP รวมถึง

HTTP คืออะไร
HTTP คืออะไร
  1. Client-Server Model: HTTP มีโมเดลโมเอิร์บซึ่งแยกแยะระหว่างเครื่องลูกค้า (Client) และเครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server) โดยที่เครื่องลูกค้าทำการร้องขอข้อมูลจากเครื่องเซิร์ฟเวอร์และเครื่องเซิร์ฟเวอร์ตอบสนองกลับไปตามคำขอ.
  2. Request-Response Model: ในโมเดลนี้, เครื่องลูกค้าจะส่งคำขอ (Request) ไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์ เมื่อเครื่องเซิร์ฟเวอร์ได้รับคำขอ, จะตอบสนอง (Response) กลับไปถึงเครื่องลูกค้า คำขอและตอบสนองมักจะรวมถึงข้อมูลและคำสั่งเพื่อจัดการข้อมูล.
  3. Message Structure: HTTP ใช้โครงสร้างข้อความที่ถูกกำหนดไว้ขณะการสื่อสาร ข้อความ HTTP ประกอบด้วยส่วนหัว (Header) และส่วนเนื้อหา (Body) โดยส่วนหัวมีข้อมูลเกี่ยวกับคำขอหรือตอบสนองเช่นประเภทของข้อมูลและการจัดการข้อมูล ส่วนเนื้อหามีข้อมูลจริงๆ ที่ถูกส่งไปหรือรับมา.
  4. Stateless: HTTP เป็นโปรโตคอลแสนสิทธิ์ คือไม่จดจำสถานะก่อนหน้า แต่แต่ละคำขอและตอบสนองมีอิสระต่อกัน นั่นหมายความว่าเครื่องเซิร์ฟเวอร์ไม่จำความสถานะของการร้องขอก่อนหน้าและเครื่องลูกค้าต้องระบุความสถานะทุกครั้งในการร้องขอ.
  5. การใช้งานโดยใช้ URL: HTTP ใช้ Uniform Resource Locator (URL) เพื่อระบุที่อยู่ของเนื้อหาหรือเอกสารที่ถูกร้องขอบนเว็บ.

เปรียบเทียบ HTTP vs IPFS ข้อมูลอย่างละเอียด

HTTP (Hypertext Transfer Protocol) และ IPFS (InterPlanetary File System) เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แต่มีความแตกต่างสำคัญในวิธีการที่พวกเขาทำงานและคุณสมบัติที่พวกเขามีดังนี้:

  1. โครงสร้างและการจัดเก็บข้อมูล:
    เปรียบเทียบโครงสร้างและการจัดเก็บข้อมูล HTTP vs IPFS
    เปรียบเทียบโครงสร้างและการจัดเก็บข้อมูล HTTP vs IPFS
    • HTTP: ใน HTTP, ข้อมูลจะถูกเรียกใช้ผ่าน URL (Uniform Resource Locator) ซึ่งระบุที่อยู่ที่แน่นอนของเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บข้อมูล และข้อมูลจะถูกเก็บบนเซิร์ฟเวอร์เดียว.
    • IPFS: ใน IPFS, ข้อมูลจะถูกแบ่งและเข้าถึงผ่าน Content Identifier (CID) ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับที่อยู่เซิร์ฟเวอร์แต่อยู่ที่เนื้อหาจริงของข้อมูล. ข้อมูลจะถูกแจกจ่ายและจัดเก็บในโหนดที่แตกต่างกันบนเครือข่าย.
  2. ความเร็วและประสิทธิภาพ:
    • HTTP: ในกรณีของ HTTP, ความเร็วขึ้นอยู่กับการเชื่อมต่อและประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์ที่เกี่ยวข้อง. การร้องขอข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์เริ่มต้นที่เร็วและมีประสิทธิภาพต่ำกว่าข้อมูลใหญ่ ๆ หรือมีการร้องขอมากๆ.
    • IPFS: IPFS อาจมีประสิทธิภาพที่ต่ำในการเข้าถึงข้อมูลในครั้งแรกเนื่องจากต้องมีการค้นหาและดาวน์โหลดข้อมูลจากโหนดอื่นๆ แต่หลังจากนั้นข้อมูลจะถูกแคชและมีความเร็วในการเข้าถึงที่ดีขึ้นตามจำนวนผู้ใช้ที่แชร์ข้อมูล.
  3. ความคงทนต่อความเสียหาย:
    • HTTP: HTTP ไม่มีความคงทนต่อความเสียหายต่อข้อมูล หากเซิร์ฟเวอร์เสียหายหรือถูกยกเลิกการให้บริการ ผู้ใช้จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้.
    • IPFS: IPFS มีความคงทนต่อความเสียหาย หากมีข้อมูลที่ถูกแจกจ่ายในหลายๆ โหนด แม้ว่าบางส่วนของโหนดจะถูกยกเลิกการให้บริการหรือเสียหาย ข้อมูลยังคงสามารถเข้าถึงได้ผ่านโหนดอื่นๆ.
  4. ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย:
    • HTTP: HTTP ไม่มีการเข้ารหัสข้อมูลโดยปริยาย ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวเสี่ยงต่อการดักจับและการแฮก.
    • IPFS: IPFS สนับสนุนการใช้งานเทคโนโลยีเข้ารหัสเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลที่จัดเก็บและส่งผ่านเครือข่าย IPFS.
  5. การจัดเก็บและรักษาข้อมูล:
    • HTTP: HTTP ไม่มีการจัดเก็บข้อมูลในระบบ และข้อมูลจะถูกเก็บบนเซิร์ฟเวอร์โดยเฉพาะ.
    • IPFS: IPFS มีการแจกจ่ายและจัดเก็บข้อมูลในโหนดต่างๆ บนเครือข่าย นี้ช่วยให้ข้อมูลมีความคงทนต่อความเสียหายและยากต่อการขนานนาม.