Node Crypto คืออะไร Node Blockchain คืออะไร

Node คืออะไร ความหมายของมัน ความสำคัญ

ที่มาของเทคโนโลยีบล็อกเชนนั้นหมายถึงการยกเลิกศูนย์กลางที่เป็นหัวใจของระบบธนาคารปัจจุบัน และเปลี่ยนแปลงเป็นระบบกระจายอำนาจที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม โหนดเล่นบทบาทสำคัญในระบบนี้ โดยมีหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนเครือข่าย

Node คืออะไร ความหมายของมัน ความสำคัญ
Node คืออะไร ความหมายของมัน ความสำคัญ

แต่เมื่อพูดถึง “โหนด” มักจะทำให้คนสับสนกับ “การขุด” ซึ่งในความเป็นจริงการขุดและการรันโหนดนั้นมีความแตกต่างกัน:

  1. โหนดเต็ม (Full Node): เป็นคอมพิวเตอร์ที่สำเนาทั้งหมดของบล็อกเชนและช่วยในการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม เป็นส่วนสำคัญในเครือข่ายเพื่อความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของระบบ
  2. โหนดการขุด (Mining Node): เป็นโหนดที่ทำงานเพื่อความสามารถในการเพิ่ม Block ใหม่ลงในบล็อกเชน โดยใช้การคำนวณทางคณิตศาสตร์ เพื่อรับรางวัลในรูปแบบของ Bitcoin หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ

ในสมัยแรกๆ การขุด Bitcoin ยังสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความยากของการขุดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องใช้เครื่องมือขุดที่มีประสิทธิภาพสูง และมีค่าใช้จ่ายในการขุดที่สูงขึ้นด้วย

ดังนั้น สำหรับบุคคลธรรมดาที่ต้องการสร้างรายได้จากการขุด Bitcoin นั้น อาจจะต้องคิดเพิ่มเติม เนื่องจากความยากและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น แต่สำหรับคนที่มีทุนและต้องการลงทุนในเทคโนโลยีนี้ ยังมีโอกาสที่จะทำกำไรได้อยู่

 

Node คืออะไร

Node (โหนด) คือ หน่วยพื้นฐานในเครือข่ายบล็อกเชน (Blockchain) ที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ, บันทึก, และต่อท่อธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนเครือข่าย. ทุกๆ Node (โหนด) ในเครือข่ายบล็อกเชนจะมีการสำเนาข้อมูลธุรกรรม (Transaction) และประวัติของบล็อก (Block History) ที่สิ้นสุดแล้ว. การที่มีโหนดหลายตัวในเครือข่ายทำให้เกิดความปลอดภัยและความยืนยันสูง (Decentralization). แต่ละโหนดจะทำงานอย่างอิสระแต่ยังสามารถสื่อสาร (Communicate) กับโหนดอื่นๆ ได้, เพื่อความเข้ากันได้และความเชื่อถือ. ในบางกรณี, บางโหนดยังเข้ามาเกี่ยวข้องในการขุด (Mining) ซึ่งเป็นการประมวลผลธุรกรรมและเพิ่มบล็อกใหม่ลงในระบบ. เพื่อความแข็งแกร่งและความปลอดภัยของเครือข่าย, Node (โหนด) จึงเป็นส่วนที่ไม่ขาดแคลนในโลกของเทคโนโลยีบล็อกเชน

 

ประเภทของ Node

เราเข้าใจว่าโหนด (Node) ในเครือข่ายบล็อกเชน (Blockchain) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของเครือข่ายผ่านการรับและแบ่งปันข้อมูลธุรกรรม. โดยทั่วไป, โหนดสามารถแบ่งประเภทออกเป็นสอง ได้แก่ Full Node และ Light Node.

ประเภทของ Node
ประเภทของ Node

1. Full Node (โหนดเต็ม): โหนดนี้เก็บข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดในบล็อกเชน, ซึ่งครอบคลุมข้อมูลตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงปัจจุบัน. เนื่องจากความเป็นมา โหนดประเภทนี้ต้องการความจำที่มาก. ยิ่งไปกว่านั้น, Full Node ยังสามารถแบ่งย่อยได้อีกเป็น:

  • Validators (โหนดตรวจสอบ): มีหน้าที่ตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมที่เข้ามาในเครือข่าย.
  • Non-Validators (โหนดที่ไม่ตรวจสอบ): ไม่มีหน้าที่ในการตรวจสอบธุรกรรม แต่ยังคงเก็บข้อมูลธุรกรรม.

2. Light Node (โหนดเบา): เป็นโหนดที่เก็บเพียงส่วนย่อยของข้อมูลธุรกรรม, ทำให้สามารถทำงานได้เร็วขึ้น และเหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่มีความจำและทรัพยากรจำกัด เช่น สมาร์ทโฟน.

การทำงานของ Node

การทำงานและหน้าที่ของโหนดในบล็อกเชนนั้นมีความหลากหลาย โดยสามารถระบุประเภทได้ดังนี้:

โหนดประเภท Full Node (โหนดเต็ม):

เป็นโหนดที่เก็บข้อมูลธุรกรรม (Transactions) ต่างๆ ใน Blockchain ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงปัจจุบัน โดยยืนยันการทำงานของเครือข่ายบล็อกเชนอยู่ตลอดเวลา

  • Archival Full Nodes: บันทึกบล็อกเชนทั้งหมด, ระบุรายละเอียดของทุกธุรกรรม, การตรวจสอบความถูกต้องของโหนด, และการบำรุงรักษาฉันทามติเป็นหลัก
    Archival Full Nodes
    Archival Full Nodes

ภายในโหนดประเภทนี้ ยังมีการแยกย่อยเป็น:

  1. Mining Nodes: ยืนยันธุรกรรมและสร้างบล็อกใหม่โดยใช้ระบบ Proof of Work. นักขุดจะได้รับรางวัลสำหรับผลประโยชน์ที่พวกเขานำมาสู่บล็อกเชน.
  2. Authority Nodes: ใช้สำหรับบล็อกเชนแบบรวมศูนย์ โดยในระบบ Delegated Proof of Stake ผู้ใช้งานของเครือข่ายจะลงคะแนนว่าใครจะได้รับการตรวจสอบความถูกต้องของบล็อกต่อไป.
  3. Master Nodes: คล้ายกับ Full Nodes แต่จะไม่มีหน้าที่เพิ่มบล็อกในเครือข่าย และจะมีหน้าที่เฉพาะเกี่ยวกับการตรวจสอบและบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรม.
  4. Staking Nodes: เป็นโหนดที่เพิ่มบล็อกโดยใช้ระบบ Proof of Stake, โดยผู้ที่มีสิทธิ์จะฝากเหรียญเข้าระบบเพื่อแลกกับการผลตอบแทน
  5. Pruned Full Nodes: ประเภทของโหนดที่เน้นการประหยัดพื้นที่จัดเก็บโดยการ”ตัด”บล็อกที่เก่าออกจากระบบ และเก็บเพียงธุรกรรมล่าสุดตามข้อกำหนดที่กำหนดโดยเจ้าของโหนดเท่านั้น
  6. Archival Full Nodes: โหนดที่บันทึกบล็อกเชนทั้งหมด พร้อมรายละเอียดของธุรกรรม มีความสำคัญต่อเครือข่ายบล็อกเชน

โหนดประเภท Light Node

  1. Lightweight Nodes: หรือที่เรียกว่า Light Nodes, มีวัตถุประสงค์เพื่อประหยัดพื้นที่จัดเก็บ โดยโหลดเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นสำหรับตรวจสอบธุรกรรม. โหนดประเภทนี้จำเป็นต้องใช้งานร่วมกับ Archival Full Nodes
  2. Lightning Nodes: เป็นโหนดที่ช่วยในการดำเนินการธุรกรรมแบบ Off-Chain, มีข้อดีในเรื่องความเร็ว, ราคาที่ถูกกว่า และมีความปลอดภัยสูง. โหนดนี้ช่วยลดต้นทุนในการใช้เครือข่าย เช่น Bitcoin.

ความสำคัญของ Node

บล็อกเชนเป็นสัญลักษณ์ของการกระจายอำนาจ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เครปโตเคอเรนซี่เป็นทางเลือกสำหรับระบบการเงินกระแสหลัก. แทนที่จะถูกควบคุมโดยหน่วยงานเดียว, อำนาจในเครือข่ายเช่น Bitcoin ถูกแบ่งปันให้กับสมาชิกชุมชนทั่วโลกผ่านกลไกที่เรียกว่า Nodes.

หน้าที่ของ Nodes

หน้าที่ของ Nodes
หน้าที่ของ Nodes
  • ความปลอดภัย: การยืนยันและตรวจสอบธุรกรรมเพื่อป้องกันการโกง
  • การยืนยันธุรกรรม: ใช้กลไก Proof-of-Work ในการตรวจสอบธุรกรรม และการสร้างเหรียญใหม่
  • บันทึกข้อมูล: ทุกโหนดมีสำเนาข้อมูลบล็อกเชน ซึ่งทำหน้าที่เป็นระบบบัญชีสากล
  • การสื่อสาร: โหนดในเครือข่ายแบ่งปันข้อมูลการทำธุรกรรมและมีส่วนในการตัดสินใจในเครือข่าย

โหนดคือหัวใจของ Blockchain

Blockchain นั้นสามารถนำไปใช้ในหลายๆ ด้าน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่มันกระจายอำนาจและไม่ขึ้นกับหน่วยงานใดๆ เฉพาะ. ในการให้ Blockchain ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ, มันต้องการผู้เข้าร่วมจากผู้ใช้งานทั่วไป เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบและยืนยันข้อมูล, และยังได้รับรางวัลสำหรับการเข้าร่วม.

Proof-of-Work, แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์เพราะสิ่งแวดล้อม, มันก็ยังมีประโยชน์ในการคุ้มครองเครือข่าย. การทำงานของมันอาจต้องการพลังงานที่มาก แต่ประโยชน์ที่ได้ก็มากเช่นกัน.

Nodes หรือ โหนดเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกสิ่งนี้เป็นไปได้. บุคคลทั่วไปมีสาเหตุต่าง ๆ ที่จะเริ่มใช้งานโหนดของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อผลกำไรหรือความปลอดภัยของเครือข่าย. แต่ไม่ว่าจะเพื่อเหตุใด, โหนดยังคงเป็นส่วนที่ไม่สามารถแยกตัวออกจาก Blockchain

โหนดและการทำงานของอัลกอริธึมฉันทามติในบล็อกเชน

โหนดในบล็อกเชนเป็นตัวที่รับผิดชอบในการตรวจสอบธุรกรรมเพื่อความถูกต้องและความปลอดภัยของเครือข่าย. เนื่องจากบล็อกเชนทำงานโดยไม่มีหน่วยงานกลางในการตรวจสอบธุรกรรม, การตรวจสอบนี้จึงต้องพึ่งพา Node Validators หรือตัวตรวจสอบโหนด. อัลกอริธึมฉันทามติจะคำนวณข้อมูลทั้งหมดจากโหนดเพื่อยืนยันว่าธุรกรรมทั้งหมดถูกต้องและได้รับการยอมรับจากส่วนใหญ่ของเครือข่าย

บล็อกเป็นหน่วยข้อมูลที่บรรจุธุรกรรมหลายรายการภายในตัว. นักขุดไม่ตรวจสอบธุรกรรมทีละรายการ, แต่จะตรวจสอบบล็อกที่มีธุรกรรมหลายรายการรวมอยู่ด้วยกัน. เมื่อธุรกรรมได้รับการตรวจสอบและยืนยัน, บล็อกดังกล่าวจะถูกเชื่อมต่อกับบล็อกก่อนหน้านี้ในเครือข่าย, ซึ่งสร้างเป็นบล็อกเชน

เมื่อมีการยืนยันบล็อกแล้ว, โหนดต่างๆ ในเครือข่ายจะปรับปรุงข้อมูลของตนเพื่อแน่ใจว่าข้อมูลที่รวมอยู่ในบล็อกนั้นถูกต้องและเป็นข้อมูลล่าสุด ผู้ใช้งานที่สนใจในคริปโตวาลเล็ตมีแรงจูงใจในการเข้าร่วมเป็นนักขุดบนบล็อกเชนสาธารณะ. นักขุดเหล่านี้รับผิดชอบในการสร้าง “แฮช (Hash)” ของธุรกรรม, ซึ่งเป็นตัวระบุเฉพาะที่ยืนยันความถูกต้องของธุรกรรม. เพื่อสร้างแฮช, นักขุดจำเป็นต้องแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนเพื่อยืนยันว่าธุรกรรมถูกต้องและได้รับการยืนยันจากเครือข่าย

Node การขุด Mining Crypto

การขุด Hash หรือที่เรียกว่า “Hash Mining” คือกระบวนการในเครือข่ายบล็อกเชนที่นักขุดใช้พลังคอมพิวเตอร์ของพวกเขาเพื่อแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เพื่อยืนยันธุรกรรมและเพิ่มบล็อกใหม่ลงในบล็อกเชน.

Node การขุด Mining Crypto
Node การขุด Mining Crypto

เป้าหมายของการขุดคริปโตนั้นคือการยืนยันธุรกรรมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งการยืนยันนี้มีความสำคัญต่อการทำงานของเครือข่ายบล็อกเชน. Mining Nodes หรือ “โหนดขุด” มีหน้าที่คล้ายกับ Full Nodes ในการรับและเผยแพร่ธุรกรรม, แต่โหนดขุดนี้ยังมีหน้าที่เพิ่มเติมในการคำนวณและยืนยันธุรกรรม.

นักขุดจะใช้กำลังคอมพิวเตอร์เพื่อคำนวณ “แฮช” ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของฟังก์ชันคณิตศาสตร์ที่เข้ารหัสข้อมูล. เมื่อนักขุดค้นหาคำตอบที่ตรงกับความยากของเครือข่ายและต้องการในการยืนยันธุรกรรม, ธุรกรรมเหล่านั้นจะถูกยืนยันและเพิ่มลงบล็อกเชน. เมื่อนักขุดทำสำเร็จ, เขาจะได้รับรางวัลในรูปแบบของสกุลเงินดิจิทัล.

การขุดด้วย ASIC หรือ “Application Specific Integrated Circuits” เป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมมากในฐานะอุปกรณ์ขุดเพราะประสิทธิภาพสูง. ASIC ถูกออกแบบมาเพื่อคำนวณแฮชอย่างรวดเร็ว, ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับรางวัลจากการขุด.

แต่ทั้งนี้, การขุดคริปโตเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนและใช้พลังงานมาก. ต้องมีความเข้าใจและความรู้เฉพาะเรื่องในการเลือกและใช้อุปกรณ์, รวมถึงการปรับแต่งการขุดเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด.