Steganography คืออะไร
วิทยาการอำพรางข้อมูล (Steganography) เป็นวิชาวิทยาที่รับบทบาทในการซ่อนข้อมูลภายในข้อมูลหรือวัตถุต่าง ๆ อย่างล่ะเอียด โดยมีการผสมผสานกับการใช้รหัสลับเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในข้อมูลที่ซ่อนอยู่ คำว่า “steganographia” มาจากภาษากรีก โดย “steganós” หมายถึง คลุมหรือปกปิดและ “graphia” หมายถึง การเขียน โดยปรากฎหลักฐานการใช้คำว่า “Steganography” พบครั้งแรกในปี คริสต์ศักราช 1499 ในหนังสือ “Steganographia” ของ Johannes Trithemius ที่ถูกปลอมให้เป็นหนังสือเวทย์มนต์ ในหนังสือนี้มีข้อความที่ถูกซ่อนอยู่ในตัวของข้อมูลอื่น ๆ อย่างเช่น รูปภาพ, บทความ, และรายการซื้อขาย และนี่ยังเป็นการใช้หมึกที่มองไม่เห็น (Invisible ink) ในการซ่อนข้อมูลระหว่างบรรทัดด้วย.
วิทยาการอำพรางข้อมูลมีวิธีการใช้ในการซ่อนข้อมูลในแฟ้มคอมพิวเตอร์ด้วย โดยการซ่อนข้อมูลดิจิทัลในแฟ้มข้อมูล, รูปภาพ, โปรแกรม, หรือโพรโทคอล โดยแฟ้มที่มีขนาดใหญ่เป็นที่เหมาะสมในการซ่อนข้อมูล ตัวอย่างเช่น, ผู้ส่งข้อมูลอาจใช้รูปภาพในการซ่อนข้อมูล โดยใส่รหัสตัวอักษร 1 ตัวลงไปแทนรหัสสีของจุดในรูปภาพ โดยทั่วไปจะเป็น 1 จุดในทุก ๆ 100 จุด หากภาพมีขนาด 1 ล้านจุด, ผู้ส่งข้อมูลสามารถซ่อนตัวอักษรเข้าไปได้ถึง 10,000 ตัวอักษร และหากภาพนั้นมีความละเอียดสีขนาด 24 บิตต่อจุด จุดที่ถูกซ่อนข้อมูลอาจมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสี ซึ่งทำให้มนุษย์ทั่วไปสามารถตรวจสอบความผิดปกติได้ยากมาก
ความแตกต่างระหว่างSteganography และ Cryptography
Steganography และ Cryptography เป็นสองเทคนิคที่ใช้ในการปกปิดข้อมูลแต่มีวัตถุประสงค์และวิธีการที่แตกต่างกัน:
- Steganography (วิทยาการอำพรางข้อมูล):
- วัตถุประสงค์: วิทยาการอำพรางข้อมูลมุ่งเน้นไปที่การซ่อนข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ไม่อาจรู้เห็นหรือรู้สึกเป็นปกติ เป้าหมายหลักคือการที่ข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่นั้นไม่ถูกตรวจพบหรือรู้เห็นโดยผู้อื่น.
- วิธีการ: ในการอำพรางข้อมูล, ข้อมูลจะถูกซ่อนไว้ภายในสื่อหรือข้อมูลอื่น ๆ เช่น รูปภาพ, เอกสาร, หรือไฟล์เสียง โดยมักใช้การเปลี่ยนแปลงค่าพิกเซลหรือบิตของสื่อนั้นเพื่อรับข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่ ผู้รับข้อมูลจะต้องทราบวิธีการและมีเครื่องมือเพื่อสกัดข้อมูลออกมา.
- Cryptography (การเข้ารหัสลับ):
- วัตถุประสงค์: การเข้ารหัสลับเป็นกระบวนการที่ใช้ในการปกปิดข้อมูลโดยการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อทำให้มันไม่สามารถอ่านหรือเข้าใจได้โดยผู้ไม่มีสิทธิ์หรือคนที่ไม่มีรหัสถอดรหัส.
- วิธีการ: ในการเข้ารหัสลับ, ข้อมูลจะถูกแปลงเป็นรูปแบบที่ไม่อ่านออกได้ (ciphertext) โดยใช้วิธีการเข้ารหัส (encryption algorithm) และรหัสลับ (encryption key) ที่สามารถใช้ในการถอดรหัส (decryption) เพื่อกู้คืนข้อมูลเป็นรูปแบบเดิม (plaintext) ผู้รับข้อมูลจะต้องมีรหัสถอดรหัสที่ถูกต้องเพื่ออ่านข้อมูล.
ดังนั้นความแตกต่างสำคัญคือ:
- Steganography มุ่งเน้นการซ่อนข้อมูลโดยที่ผู้อื่นไม่รู้เห็นว่ามีข้อมูลถูกซ่อนอยู่.
- Cryptography มุ่งเน้นการปกปิดข้อมูลโดยการแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ไม่สามารถอ่านได้โดยผู้ไม่มีสิทธิ์.
- Steganography จะไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือลักษณะของสื่อหรือข้อมูลต้นฉบับ.
- Cryptography จะเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้ไม่สามารถอ่านได้จนกว่าจะถอดรหัส.
หลักการทำงานและการใช้ Steganography
หลักการทำงานของ Steganography เป็นกระบวนการที่ใช้ในการซ่อนข้อมูลภายในสื่อหรือข้อมูลอื่น ๆ โดยที่สื่อหรือข้อมูลดังกล่าวไม่ควรแสดงให้เห็นข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่ หรือถูกเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสงสัย. ปัญหาหลักของ Steganography คือการทำให้ข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่นั้นดูเหมือนข้อมูลปกติและไม่สร้างความรู้สงสัย นี่คือขั้นตอนพื้นฐานของการใช้ Steganography:
การเลือกสื่อหรือข้อมูลเป้าหมาย
การเลือกสื่อหรือข้อมูลเป้าหมายในกระบวนการ Steganography เป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้ความปลอดภัยและประสบความสำเร็จในการซ่อนข้อมูลที่ต้องการ ขั้นตอนที่สำคัญสำหรับการเลือกสื่อหรือข้อมูลเป้าหมายประกอบด้วยการกำหนดวัตถุประสงค์ของการซ่อนข้อมูล ก่อนที่จะใช้ Steganography คุณจะต้องเลือกสื่อหรือข้อมูลที่คุณต้องการซ่อนข้อมูลภายใน นี่อาจเป็นรูปภาพ, เอกสาร, ไฟล์เสียง, หรือสื่ออื่น ๆ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของคุณ.
การซ่อนข้อมูล
การซ่อนข้อมูลเป็นกระบวนการที่ใช้ใน Steganography เพื่อซ่อนข้อมูลภายในสื่อหรือข้อมูลอื่น ๆ โดยที่สื่อหรือข้อมูลดังกล่าวไม่ควรแสดงให้เห็นข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่ คุณจะใช้เทคนิค Steganography เพื่อซ่อนข้อมูลภายในสื่อหรือข้อมูลเป้าหมาย วิธีการนี้จะขึ้นอยู่กับประเภทของสื่อที่คุณใช้ ตัวอย่างเช่น:
-
- Steganography ในรูปภาพ: คุณสามารถแทรกรหัสลับในรูปภาพโดยการเปลี่ยนแปลงค่าสีของพิกเซลที่ไม่น่าสงสัย.
- Steganography ในเอกสาร: คุณสามารถซ่อนข้อความภายในเอกสารโดยเปลี่ยนแปลงตัวอักษรหรือเครื่องหมายวรรคตอนให้ไม่มีผลกับรูปลักษณ์ของเอกสาร.
- Steganography ในไฟล์เสียง: คุณสามารถซ่อนข้อมูลในสัญญาณเสียงโดยเปลี่ยนแปลงค่าสัญญาณที่ไม่สังเกตเห็น.
การใช้รหัสลับ (Optional)
การใช้รหัสลับ (encryption key) เป็นส่วนหนึ่งของการปกปิดข้อมูลด้วย Steganography เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่มีสิทธิ์หรือคนที่ไม่มีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกซ่อน หากคุณต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลที่ถูกซ่อน คุณสามารถใช้รหัสลับในกระบวนการ Steganography. รหัสลับนี้จะเป็นอีกขั้นตอนที่ต้องมีเพื่อให้ผู้รับข้อมูลสามารถถอดรหัสและเข้าถึงข้อมูลได้ การใช้รหัสลับทำให้ข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่ด้วย Steganography มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากคนที่ไม่มีรหัสลับจะไม่สามารถถอดรหัสและเข้าถึงข้อมูลได้ ควรรักษารหัสลับอย่างปลอดภัยและไม่เผยแพร่รหัสลับกับบุคคลที่ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล เนื่องจากหากรหัสลับหายไปหรือถูกรั่วไหล, ข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่อาจถูกเปิดเผยและถูกนำมาใช้งานโดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต
การส่งหรือเผยแพร่
Steganography เป็นเทคนิคที่ใช้ในการซ่อนข้อมูลภายในสื่อหรือข้อมูลอื่น ๆ โดยที่สื่อหรือข้อมูลดังกล่าวไม่ควรแสดงให้เห็นข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่ ขั้นตอนหลักของการใช้ Steganography รวมถึงการเลือกสื่อหรือข้อมูลเป้าหมาย, การซ่อนข้อมูล, การบันทึกหรือส่งข้อมูล, การแชร์หรือเผยแพร่ (ถ้าจำเป็น), และการถอดรหัส (ถ้าจำเป็น) โดย Steganography มักใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยข้อมูลหรือปกปิดข้อมูลจากบุคคลที่ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงหลังจากที่คุณซ่อนข้อมูลไว้ในสื่อหรือข้อมูลเป้าหมาย, คุณสามารถส่งสื่อนี้หรือเผยแพร่ได้ตามปกติ คนที่ไม่รู้จะไม่สามารถรู้เห็นหรือรู้สึกเกี่ยวกับข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่ การถอดรหัส (ถ้าจำเป็น) หากมีความจำเป็น คนที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่จะต้องใช้วิธีการถอดรหัสที่ถูกต้องและรหัสลับถูกต้องเพื่อเข้าถึงข้อมูล.
การใช้ Steganography อย่างผิดจรรยาบรรณ
การใช้วิทยาการอำพรางข้อมูลอย่างผิดจรรยาบรรณเป็นกิจกรรมที่ไม่ถูกต้องและไม่สอดคล้องกับค่านิยมและกฎหมายที่มีอยู่ การใช้ Steganography เพื่อวัตถุประสงค์ที่ผิดจรรยาบรรณเป็นการละเมิดสิทธิและความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่น ๆ และสามารถต้องการโทษทางกฎหมายตามกระทรวงกฎหมายของแต่ละประเทศ และมีผลกระทบทางสังคมและกิจกรรมของคุณอีกด้วย นี่คือสิ่งที่ควรระวังเมื่อพิจารณาการใช้ Steganography:
- การละเมิดความเป็นส่วนตัวและความเป็นสิทธิ: การใช้ Steganography เพื่อรับข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลอื่นๆ หรือการละเมิดความเป็นสิทธิและความเป็นส่วนตัวของบุคคลนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและไม่สามารถยอมรับได้.
- การใช้ Steganography ในการขโมยข้อมูล: การใช้ Steganography เพื่อขโมยข้อมูลทางการเงินหรือข้อมูลส่วนตัวของบุคคลอื่นๆ เป็นการละเมิดกฎหมายที่ร้ายแรงและอาจทำให้เจ้าหน้าที่การอำนวยความสะดวกทางกฎหมายตามสามารถดำเนินคดีต่อคุณ.
- การใช้ Steganography ในการแฮ็กและการล่วงละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา: การใช้ Steganography เพื่อวัตถุประสงค์เช่นการแฮ็กระบบหรือการล่วงละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและสามารถต้องการโทษอันหนัก.
- การใช้ Steganography ในการสร้างและแพร่กระจายมัลแวร์: การใช้ Steganography เพื่อซ่อนมัลแวร์และแพร่กระจายมันเป็นกิจกรรมที่ไม่ถูกต้องและสามารถทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่เครื่องคอมพิวเตอร์และข้อมูล.
- การใช้ Steganography ในการก่ออาชญากรรมทางเพศ: การใช้ Steganography เพื่อส่งหรือแชร์เนื้อหาที่ผิดสังคมและละเมิดความเป็นสิทธิของบุคคลในกรณีทางเพศเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและมิชอบ.
เครื่องมือของ Steganography
Steganography เป็นเทคนิคที่มีเครื่องมือหลายประเภทที่ใช้ในการซ่อนข้อมูลลับในสื่อหรือข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนเครื่องมือที่ถูกใช้ในการถอดรหัสข้อมูลที่ถูกซ่อนไว้ด้วยเทคนิค Steganography นี่คือเครื่องมือที่พบบ่อย:
- Steganography Encoding Tools: เครื่องมือสำหรับการซ่อนข้อมูลลับในสื่อหรือข้อมูลต้นฉบับ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกสื่อหรือข้อมูลต้นฉบับและซ่อนข้อมูลลับลงในนั้น โดยทั่วไปแล้วมีตัวเลือกในการกำหนดรหัสผ่าน (passphrase) หรือคีย์สำหรับการเข้ารหัสและถอดรหัส.
- Steganography Detection Tools: เครื่องมือสำหรับตรวจสอบสื่อหรือข้อมูลที่สงสัยว่าอาจมีข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่ภายในด้วยเทคนิค Steganography เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการค้นหาความแปลกประหลาดในสื่อหรือข้อมูลและบ่งชี้ว่ามีการใช้ Steganography.
- Steganography Analysis Tools: เครื่องมือสำหรับวิเคราะห์สื่อหรือข้อมูลที่เราค้นพบความแปลกประหลาดและต้องการทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซ่อนข้อมูล มีเครื่องมือที่ช่วยในการเจาะรหัสและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิค Steganography ที่ถูกใช้.
- Steganography Extraction Tools: เครื่องมือสำหรับถอดรหัสข้อมูลที่ถูกซ่อนด้วย Steganography ออกมา เมื่อค้นพบสื่อหรือข้อมูลที่ถูกซ่อนแล้ว เครื่องมือนี้ช่วยในกระบวนการถอดรหัสข้อมูลเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ถูกซ่อน.
- Steganography Forensics Tools: เครื่องมือสำหรับการทบทวนและสืบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Steganography ในการซ่อนข้อมูล ช่วยในการค้นหาข้อมูลสำคัญและเป็นหลักฐานในคดีอาชญากรรม.
- Steganography Visualization Tools: เครื่องมือที่ช่วยในการแสดงผลการใช้ Steganography โดยแสดงความแตกต่างในสื่อหรือข้อมูลหลังจากถูกใช้ Steganography และก่อให้เกิดการเห็นภาพของการซ่อนข้อมูล.
- Steganography Stego Creation Tools: เครื่องมือสำหรับสร้างสื่อหรือข้อมูลที่มีการซ่อนข้อมูลลับ นี่คือเครื่องมือสำหรับผู้สร้างสื่อที่ใช้ในกระบวนการ Steganography.
- Steganography Stego Analysis Tools: เครื่องมือสำหรับวิเคราะห์สื่อที่มีการซ่อนข้อมูลลับเพื่อทราบเนื้อหาและรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลที่ถูกซ่อน.
steganography decoder คือะไร
Steganography decoder (ตัวถอดรหัส Steganography) เป็นโปรแกรมหรือเครื่องมือที่ใช้ในกระบวนการค้นพบและถอดรหัสข้อมูลที่ถูกซ่อนด้วยเทคนิค Steganography ออกมา เครื่องมือนี้มีความสามารถในการค้นหาและดึงข้อมูลที่ถูกซ่อนไว้ในสื่อต่าง ๆ เช่นภาพ, เสียง, หรือเอกสาร โดยทั่วไปเครื่องมือนี้จะถอดรหัสข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่และแสดงข้อมูลเป็นรูปแบบที่เรียบง่ายให้ผู้ใช้งานดูเห็น.
Steganography decoder ทำงานโดยการวิเคราะห์สื่อหรือข้อมูลที่สงสัยว่าอาจมีข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่ภายใน โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่นการตรวจสอบตัวบรรจุ (container) หรือสื่ออินทรีย์ (carrier) เพื่อค้นพบแนวพร้อมค้นพบแพร่กระจายข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่ เครื่องมือนี้สามารถใช้ในการวิเคราะห์และตรวจสอบภาพ, เสียง, หรือเอกสารเพื่อค้นหาข้อมูลที่อาจถูกซ่อนอยู่ เช่น ข้อความลับ, รูปภาพ, หรือไฟล์อื่น ๆ ที่ผู้สร้างซ่อนอยู่ในสื่อหลัก โดย Steganography decoder มีการแบ่งประเภทตามสื่อและเทคนิคที่ถูกใช้ในการซ่อนข้อมูล ซึ่งแต่ละเครื่องมืออาจมีความสามารถและการใช้งานที่แตกต่างกันไปตามเครื่องมือและวัตถุประสงค์ของผู้ใช้งาน
การทำงานของ steganography decoder
Steganography decoder ทำงานโดยตรวจสอบสื่อหรือข้อมูลที่สงสัยว่าอาจมีข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่ภายใน โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อค้นพบและถอดรหัสข้อมูลที่ถูกซ่อนด้วยเทคนิค Steganography ออกมา เรามาดูขั้นตอนการทำงานของ Steganography decoder ได้แก่:
- การระบุสื่อหรือข้อมูล: เป็นขั้นตอนแรกที่ Steganography decoder จะต้องระบุสื่อหรือข้อมูลที่ต้องการตรวจสอบหรือถอดรหัส สื่อหรือข้อมูลนี้อาจเป็นภาพดิจิทัล, เสียง, หรือเอกสารที่มีสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ภายในเช่นข้อความลับหรือรูปภาพ.
- วิเคราะห์สื่อหรือข้อมูล: Steganography decoder จะทำการวิเคราะห์สื่อหรือข้อมูลนั้นเพื่อตรวจสอบสัญลักษณ์หรือความแปลกประหลาดที่สามารถบ่งชี้ไปยังการใช้ Steganography ข้อมูลนี้ เป็นการสแกนสื่อหรือข้อมูลเพื่อค้นหาความแปลกประหลาดหรือรูปแบบที่อาจบ่งชี้ถึงการใช้ Steganography.
- การถอดรหัส: เมื่อมีสัญลักษณ์หรือความแปลกประหลาดที่บ่งชี้ถึงการใช้ Steganography มาแล้ว โปรแกรม Steganography decoder จะทำการถอดรหัสข้อมูลที่ถูกซ่อนอยู่ภายในสื่อหรือข้อมูลนั้นออกมา ขั้นตอนนี้เป็นการประมวลผลทางคณิตศาสตร์ที่ใช้เทคนิคเฉพาะในการตรวจจับและถอดรหัสข้อมูล Steganography ออกมา.
- แสดงผลหรือบันทึกข้อมูล: เมื่อข้อมูลถูกถอดรหัสออกมาเรียบร้อยแล้ว ส่วนต่อไปคือการแสดงผลข้อมูลที่ถูกถอดรหัสให้ผู้ใช้ดูเห็น หรือบันทึกข้อมูลไว้ในรูปแบบที่เหมาะสม นี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน Steganography decoder.